กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--IR PLUS
ชโย กรุ๊ป หรือ CHAYO อวดผลงานปี 2561 มีกำไร 85.43 ล้านบาท เติบโต 47% ทะลุเป้าที่วางไว้ กำไรโตเกิน 10% จากปีก่อน รายได้รวมอยู่ที่ 255.65 ล้านบาท ด้านพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพสิ้นสุดปี 2561 อยู่ที่ 38,349 ล้านบาท เผยล่าสุดได้ใบอนุญาตการปล่อยสินเชื่อ Nano และ Personal loan แล้ว เตรียมลุยปล่อยสินเชื่อในปลายไตรมาส 1 นี้ "สุขสันต์ ยศะสินธุ์" ซีอีโอ มองแนวโน้มปี 2562 รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังประกาศกลยุทธ์เชิงรุกในทุกธุรกิจ เตรียมเงินลุยซื้อหนี้เข้าพอร์ตมาบริหารเพิ่ม พร้อมเดินหน้าธุรกิจปล่อยสินเชื่อเต็มสูบ
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สินและกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดปี 2561 มีรายได้รวมอยู่ที่ 255.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.67 ล้านบาท หรือ 24.11 % และกำไรสุทธิอยู่ที่ 85.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.69% (ทะลุเป้าหมายที่วางไว้กำไรโตเกิน 10% จากปีก่อน) และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 64.13% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 33.42%
"สาเหตุที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิในปี 2561ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธุรกิจหลักซึ่งได้แก่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์หรือซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร โดยเฉพาะหนี้ที่มีหลักประกันที่ได้ซื้อในปี 2560 และ 2561 ได้เริ่มมีการทยอยขายออกไปเพื่อสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ประกอบกับยอดจัดเก็บของหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีการจัดเก็บเพิ่มขึ้นและการตัดต้นทุนที่น้อยลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้และกำไรสุทธิ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" นายสุขสันต์ กล่าว
ในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถซื้อหนี้ได้ตามเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2561 บริษัทฯ ได้ดำเนินการซื้อหนี้แล้ว 374.96 ล้านบาท มีมูลหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 38,349 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันประมาณ 35,181 ล้านบาท และหนี้ที่มีหลักประกันประมาณ 3,168 ล้านบาท
นายสุขสันต์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% โดยประเมินว่าตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปี 2561 ประกอบกับการประกาศใช้มาตรฐานการบัญชีใหม่ หรือ TFRS 9 อาจส่งผลให้กลุ่มสถาบันการเงินต้องเร่งขายหนี้เสียหรือ NPL ออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทฯ ที่จะได้เข้าไปลงทุนซื้อหนี้ NPL เข้ามาบริหาร ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกในทุกธุรกิจ และยังคงเน้นการลงทุนในธุรกิจหลักในการซื้อหนี้มาบริหารเป็นหลักเช่นเดิม ประกอบกับการรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่เพิ่งได้รับใบอนุญาตมาเป็นหลัก
บริษัทฯ ตั้งเป้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน 70 - 80% ไม่มีหลักประกัน 20 - 30% ส่วนงบลงทุนวางไว้ที่ประมาณ 1,000 - 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นซื้อหนี้เข้ามาบริหารประมาณ 1,000 - 1,250 ล้านบาท และอีกประมาณ 200 - 250 ล้านบาท ใช้สำหรับธุรกิจปล่อยกู้ โดยแหล่งเงินลงทุนมาจากการออกหุ้นกู้วงเงินเพิ่มทุน General Mandate - PP จำนวน 56 ล้านหุ้นและกระแสเงินสดของบริษัท
ส่วนธุรกิจใหม่ในปี 2562 บริษัทฯ จะมีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยธุรกิจ สินเชื่อบุคคล (Personal Loan) และสินเชื่อนาโน (Nano Finance) ซึ่งบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาต (ไลเซนส์) ให้ประกอบกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจะเริ่มดำเนินธุรกิจสินเชื่อทั้ง 2 ประเภทภายในไตรมาส 1 ปี 2562 ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ยังอยู่ระหว่างรอผลการอนุมัติจากธปท. ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจด้านการปล่อยสินเชื่อ บริษัทจะดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย "ชโย แคปปิคอล" ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย "ชโย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส"
"กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจปล่อยสินเชื่อคือพนักงานประจำ ทั้งบริษัทเอกชนและรัฐบาล ลูกจ้างประจำ หรือลูกค้าเดิมที่มีธุรกรรมกับบริษัทฯ เนื่องจากมองเห็นความต้องการและศักยภาพของลูกค้า ขณะที่จุดแข็งของบริษัทฯ คือความชำนาญในการเก็บและปล่อยสินเชื่อ จึงมั่นใจว่าธุรกิจปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท จะผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" นายสุขสันต์ กล่าว