กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่องดัชนีความเครียดของคนไทย ไตรมาส 4 กรณีศึกษา : ตัวอย่างประชาชนทั่วไป ในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,016 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1–22 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา พบว่า
ตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 54.99 เป็นหญิง และร้อยละ 45.01 เป็นชาย เมื่อจำแนกออกเป็นเจเนอเรชั่น พบว่า ร้อยละ 6.69 เป็นเจเนอเรชั่น Z (ตัวอย่างที่มีอายุ 15-18 ปี) ร้อยละ 12.52 เป็นเจเนอเรชั่น M (ตัวอย่างที่มีอายุ 19-24 ปี) ร้อยละ 21.36 เป็นเจเนอเรชั่น Y (ตัวอย่างที่มีอายุ 25-35 ปี) ร้อยละ 30.69 เป็นเจเนอเรชั่น X (ตัวอย่างที่มีอายุ 36-50 ปี) และร้อยละ 28.74 เป็นเจเนอเรชั่น B (ตัวอย่างที่มีอายุ 51-69 ปี) ด้านสถานภาพสมรส พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 53.97 สมรสแล้ว ร้อยละ 35.86 เป็นโสด ในขณะที่ร้อยละ 10.17 เป็นหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่ ส่วนการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุด พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.50 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 26.60 ระดับปริญญาตรี และร้อยละ 1.90 ระดับสูงกว่าปริญญาตรี ส่วนรายได้ส่วนตัวเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 32.76 มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 42.01 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท และร้อยละ 25.23 มีรายได้สูงกว่า 20,000 บาท สำหรับอาชีพ พบว่า ร้อยละ 20.02 อาชีพพนักงาน/บริษัทเอกชน ร้อยละ 13.93 รับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.18 อาชีพค้าขาย ร้อยละ 13.58 เป็นนักเรียน-นักศึกษาร้อยละ 10.33 อาชีพรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 12.43 ประกอบธุรกิจส่วนตัว และร้อยละ 13.53 ประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น พ่อบ้านแม่บ้าน เกษตรกร เกษียณอายุ ว่างงาน พนักงานมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ปัญหาปากท้อง การเมือง และสิ่งแวดล้อม ทำคนไทยเครียดเพิ่มขึ้น ...
ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นี้ ในภาพรวมพบว่า คนไทยมีความเครียดคล้ายคลึงกับการสำรวจในครั้งที่ผ่านมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา โดยคนไทยส่วนใหญ่มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินมากกว่าเรื่องอื่นๆ (ร้อยละ 78.52) รองลงมา คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม (ร้อยละ 72.47) และเรื่องการงาน (ร้อยละ 56.30) เป็นต้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ระดับความเครียดของคนไทยในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน สิ่งแวดล้อม และการเมืองพุ่งสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยความเครียดเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.07 ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.84 รวมถึงความเครียดเรื่องการเมืองที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31.10 ซึ่งความเครียดในด้านต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่รู้สึกไม่มีความสุข (ร้อยละ 61.56) และเบื่อหน่าย (ร้อยละ 72.72) เป็นต้น
หลังเลือกตั้ง หวังว่า เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตจะดีขึ้น ...
เมื่อให้คนไทยคาดการณ์สภาพปัญหาที่ต้องประสบในชีวิตประจำวันภายหลังการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่คิดว่า สภาพปัญหาต่างๆ ยังคงเป็นเหมือนเดิม ได้แก่ ปัญหาการจราจร (ร้อยละ 43.65) ปัญหาฝุ่นละออง มลพิษ (ร้อยละ 40.93) ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น (ร้อยละ 43.84) และปัญหาอาชญากรรม (ร้อยละ 45.06) ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้คนไทยเกิดความเครียดมาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจครั้งแรกในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันในขณะที่ปัญหาสำคัญที่คนไทยหวังว่า น่าจะดีขึ้น คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน (ร้อยละ 56.60) และคุณภาพชีวิตหลังการเลือกตั้ง (ร้อยละ 49.53)
เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับปัญหาในอนาคต ...
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เกิดความเครียด คือ สินค้าราคาแพง หนี้สิน/รายรับไม่พอกับรายจ่าย ความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของนักการเมือง และการแบ่งพรรคแบ่งพวก และมลพิษทางสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยช่วงนี้เป็นช่วงการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมีความกังวลถึงความวุ่นวายทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างนักการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจที่ดูจะคาราคาซังมานาน รวมทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้น ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบและหน่วยงานต่างๆ ควรเตรียมความพร้อมและวางแผนการทำงานเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที