กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--IR PLUS
เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) เดินหน้าธุรกิจตามแผน "NPPG Turnaround 2019" ลั่นปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิตามเป้าหมาย ขณะที่รายได้ทั้งกลุ่มจะเติบโต 20-25% ล่าสุดผลการดำเนินงานปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 1,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 50 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อน ส่วนด้านรายจ่ายคุมเข้มทั้งต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ประเภทต่างๆ ธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็งและอาหารกึ่งสำเร็จรูป เปิดเผยว่า บริษัทได้เร่งดำเนินการตามแผนธุรกิจ "NPPG Turnaround 2019" ซึ่งมุ่งเน้นในนโยบายสร้างกำไร (Profit Focus) มากกว่าการขยายตัว (Growth Focus) ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายอัตราการขยายตัวของรายได้ทั้งกลุ่มอย่างน้อย 20-25% และพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 50 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์จำนวน 630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทหันมาเน้นการทำการตลาดจากฐานลูกค้าเดิมซึ่งมั่นใจในมาตรฐานการผลิตของบริษัทอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มองหาพันธมิตรทางการค้ารายใหม่ๆ เพื่อหวังสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีรายได้จากการขายจำนวน 533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากส่วนของรายได้จากการผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปแช่แข็งและกึ่งสำเร็จรูปที่มียอดส่งออกกุ้งแช่แข็งเพิ่มขึ้น มีรายได้ในปี 2561 จำนวน 327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37 ล้านบาท ซึ่งนอกจากสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งแล้ว ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาบริษัทยังได้แตกไลน์มาผลิตปลาน้ำจืดแปรรูปแช่แข็งเพื่อส่งออกเพิ่มอีกหนึ่งประเภทสินค้า เพราะมีกลุ่มลูกค้าที่รองรับสินค้าอยู่แล้ว
ส่วนร้านอาหาร A&W ซึ่งอยู่ในกลุ่ม QSR ที่ถือได้ว่ามีการแข่งขันกันของแต่ละแบรนด์สูงมาก มีรายได้ 192 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย ขณะที่ร้านอาหารคิทเช่น พลัส ที่บริษัทเริ่มรับรู้รายได้ช่วงไตรมาส 4 ของปี มีรายได้กว่า 10 ล้านบาท ซึ่งแยกออกเป็นรายได้จากการขายตามปกติที่เกิดจากสาขาที่บริษัทดำเนินกิจการเอง ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 สาขา และอีกส่วนเป็นรายได้ที่เกิดจากการให้ใช้สิทธิแฟรนไชส์ร้านอาหารคิทเช่น พลัส (Franchisee) ซึ่งในปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 50 สาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 20-25 สาขาภายในปี 2562 นี้
สำหรับปี 2561 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ เป็นจำนวน - 279 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในปี 2561 เช่น การขาดทุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย การตั้งด้อยค่าในสินทรัพย์ และการตั้งหนี้สงสัยจะสูญ เป็นต้น
"ในการดำเนินการต่างๆ นั้น เป็นการดำเนินงานตามแผนการ Turnaround ที่ได้ประกาศไว้ ทั้งในด้านของเป้าหมายอัตราการขยายตัวของรายได้ การพลิกกลับมามีกำไร การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อสร้างพื้นฐานธุรกิจของบริษัทให้แข็งแรงและเติบโตได้ในระยะสั้นและระยะกลาง ถึงแม้ในปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทจะมีผลขาดทุนจำนวน 279 ล้านบาท โดยขาดทุนลดลงจากปีก่อน 187 ล้านบาท หรือราว 40% แต่ก็ถือว่าอยู่ในสถาณการณ์ที่บริษัทประเมินไว้และหากพิจารณาที่กำไรขั้นต้นก็จะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งก็มาจากการที่บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่วางไว้" นายเชิดศักดิ์กล่าว