กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--บี.กริม เพาเวอร์
บี.กริม เพาเวอร์ 'BGRIM' โชว์รายได้ทั้งปีพุ่งเป็น 3.65 หมื่นล้านบาท หนุนกำไรเติบโต 6.7% พร้อมจ่ายปันผลช่วงครึ่งปีหลัง 0.17 บาทต่อหุ้น
บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) โชว์รายได้เติบโตกว่า 16% เป็น 36,585 ล้านบาท จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าใหม่ ทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงบการเงินรวมปี 2561 ขยายตัวเป็น 3,027 ล้านบาท เดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามและโครงการพลังงานทดแทนอื่นหนุนกำลังการผลิตโตก้าวกระโดดอีก 34% ในปี 2562 พร้อมประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังที่ 17 สตางค์ต่อหุ้น
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2561 ว่า บริษัทมีการเติบโตของรายได้กว่า 16.2% จากปีก่อนหน้าเป็น 36,585 ล้านบาท จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) ABPR3, ABPR4 และ ABPR5 จำนวนกำลังการผลิตติดตั้งรวม 399 MW และ COD ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ 7 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 30.8 MW ทำให้ปี 2561 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้น 430 MW หรือเติบโตถึง 26% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Normalized net profit) ในงบการเงินรวมปี 2561 ขยายตัวเป็น 3,027 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,842 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 6.7 % จากปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากการ COD ของโรงไฟฟ้าใหม่ และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน จากการออกหุ้นกู้ระดับโครงการในเดือน พ.ค. และหุ้นกู้ระดับบริษัทในเดือน ต.ค. และหุ้นกู้กรีนบอนด์ในเดือนธ.ค. 2561 ซึ่งหุ้นกู้กรีนบอนด์ถือเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดย Climate Bonds Initiative มีการจัดทำแนวทางปฎิบัติสากลสอดคล้องกับมาตราฐานเกณฑ์การออกพันธบัตรอาเซียนกรีนบอนด์ (ASEAN Green Bond Standards) และได้รับรางวัล Most Innovative Bond Deal จากสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เมื่อวันที่ 21 ก.พ ที่ผ่านมา
บริษัทพร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนหลังของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 17 สตางค์ โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 14 มี.ค. 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พ.ค. 2562
ในปี 2562 บริษัทยังเดินหน้าธุรกิจตามแผน มีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาอีก 17 โครงการรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 1,050 MW ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มเป็น 3,126 MW ณ ปี 2565 โดยเป็นโครงการที่มีกำหนดการ COD ในปีนี้ 4 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 697 MW ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม DTE1&2 ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 420 MW และโครงการ Phu Yen TTP กำลังการผลิตติดตั้ง 257 MW โดยทั้งสองโครงการมีกำหนดการ COD ในเดือน มิ.ย. โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam Che กำลังการผลิตติดตั้ง 15 MW คาดว่าจะ COD ได้ในครึ่งแรกของปี และโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 5 MW ซึ่งมีกำหนดการ COD ในช่วงสิ้นปี นับเป็นปีที่บริษัทจะมีการเติบโตของกำลังการผลิตอย่างก้าวกระโดดกว่า 34%
นอกจากนี้บริษัทเพิ่งประกาศความสำเร็จในการซื้อโรงไฟฟ้า โกลว์ เอสพีพี 1 จาก GLOW ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจาก กกพ. ภายในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าโครงการในระยะยาว เนื่องจากพื้นที่มาบตาพุดเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด มีความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำในระดับสูงมาก และโรงไฟฟ้าแห่งนี้อยู่ในเงื่อนไขซึ่งได้รับความเห็นชอบให้ต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) จากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 หากรวมโครงการนี้แล้วกำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทจะเพิ่มเป็น 3,250 MW ในปี 2565
ส่วนโอกาสการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาข้อมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ประเทศเกาหลี เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และลาว เพื่อบรรลุเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งที่ 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565