กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--เค พลัส พีอาร์
บอร์ด CHOW ไฟเขียวขายโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นอีก 5.86 MW รับเงินเข้ากระเป๋าอีก 545 ลบ.มีนาคมนี้ ขณะธุรกิจเหล็กปรับกลยุทธ์ใหม่ หันมารับจ้างผลิตให้ลูกค้ารายใหญ่ หนีผลกระทบปัญหาราคาเหล็กผันผวนเชื่อปี 62 กลับมาโชว์ฟอร์มสวยอีกครั้ง
นายศุภชัย ยิ้มสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และธุรกิจพลังงาน ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 ว่า ที่ประชุมมีมติ ให้บริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ ดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการจำหน่ายทรัพย์สินประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 5.86 เมกะวัตต์ ให้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ในประเทศญี่ปุ่น และ/หรือ บริษัทลูกของกองทุนฯ ซึ่งไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกับบริษัทฯ และบริษัทย่อย มูลค่าการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 1,932.30 ล้านเยน (หรือเทียบเท่า 545 ล้านบาท อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน 0.281969 บาทต่อเยน ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562) การจำหน่ายทรัพย์สินในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นตามแผนธุรกิจว่าด้วยการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินทรัพย์เพื่อสร้างผลกำไร เตรียมกระแสเงินสดเพื่อรองรับการลงทุนใหม่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน และ/หรือ ชำระหนี้ และ/หรือ เงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
สำหรับโรงไฟฟ้า 5 โครงการ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า กิฟุ ขนาด 0.48 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าฟุกุย 7 ขนาด 0.54 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าฟุกุย 1 ขนาด 2.22 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าฟุกุย 5 ขนาด 2.05 เมกะวัตต์ โรงไฟฟฟ้าฟุกุย 6 ขนาด 0.57 เมกะวัตต์ โดยจะได้รับชำระราคาทรัพย์สินในคราวเดียวภายในเดือนมีนาคม 2562
นายศุภชัย กล่าวต่อถึงผลประกอบการประจำปี 2561 ว่า บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาเหล็กในตลาดโลกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าธุรกิจโดยรวมของบริษัทฯ จะยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจเหล็กและพลังงาน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เร่งแก้ปัญหาธุรกิจเหล็กอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจหันมารับจ้างผลิตให้กับลูกค้ารายใหญ่แทนปริมาณปีละ 400,000 ตัน เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากทั้งราคาเหล็กและวัตถุดิบผันผวนในปัจจุบัน ซึ่งจะเริ่มส่งมอบสินค้าได้ในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนั้นยังได้วางแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนารูปแบบการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมความผันผวนของราคาวัตถุดิบและส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปีถัดไปได้
ในขณะที่ธุรกิจพลังงานในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2561 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ ขนาด 7.2 เมกะวัตต์ดีซี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2562 และ ยังมีโครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนาอยู่อีก 1 โครงการมีขนาด 12 เมกะวัตต์ดีซี
"ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งธุรกิจพลังงานและธุรกิจเหล็กซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าหาลู่ทางในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา หลังจากที่ธุรกิจเหล็กได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ให้มีรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเรื่องความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งเชื่อว่าจะเห็นผลในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้" นายศุภชัยกล่าว