กรุงเทพฯ--1 มี.ค.--สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ
ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ แนะการพัฒนาที่ยั่งยืนควรให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางและใช้ผลลัพธ์ด้านความสุขที่ยั่งยืนของชุมชนเป็นตัวตั้งหม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้กล่าวในการแถลงผลการดำเนินงาน "ก้าวปีก้าวหน้า" ณ สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพฯ ว่านับจากการก่อตั้งปิดทองหลังพระฯ ในปี 2553 และเริ่มดำเนินการพื้นที่ต้นแบบในจังหวัดน่านเป็นแห่งแรก ในปัจจุบันพื้นที่ต้นแบบได้ขยายไปยังทุกภาค ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุทัยธานี เพชรบุรี และสามจังหวัดชายแดนใต้
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดาฯ ได้กล่าวต่อไปว่า ตลอดการดำเนินงาน 9 ปีที่ผ่านมาและกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 10 พบว่ารากเหง้าของปัญหาการพัฒนาทั้งหมดคล้ายคลึงกันในทุกพื้นที่ คือ ปัญหาความยากจนและการขาดโอกาส และหากสามารถเริ่มต้นแก้ปัญหาด้วยการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพโดยมองผลลัพท์เป็นตัวตั้งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาเกือบจะทุกอย่างได้
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดาฯ เปิดเผยรายงานประเมินผลการทำงานในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย
- ด้านแหล่งน้ำ - มีประชาชนได้รับน้ำ 79,022 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 275,107 ไร่
- ด้านอาชีพ - มีประชาชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาอาชีพ 4,536 ครัวเรือน
ในช่วงเวลาเก้าปี ปิดทองหลังพระฯ ใช้งบประมาณด้านระบบน้ำและส่งเสริมอาชีพรวม 961.6 ล้านบาท ทำให้เกิดรายได้ทางตรง 2,308 ล้านบาท คิดเป็น 2.4 เท่าของเงินลงทุน และเท่ากับเฉลี่ยครัวเรือนละ 508,818 บาท
นอกจากนี้ปิดทองหลังพระฯ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา โดยให้ประชาชนในพื้นที่เป็นศูนย์กลาง มีการส่งเสริมให้ประชาชนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มตามบริบทของพื้นที่ให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งในปัจจุบันทุกพื้นที่เกิดกองทุน วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์รวม 70 กลุ่ม มีเงินทุนหมุนเวียน ทรัพย์สินรวมมูลค่า 15.78 ล้านบาท
ผลจากการส่งเสริมความรู้ ทำให้เกิดอาชีพทางการเกษตรใหม่ ๆ และประชาชนจำนวนมากสามารถต่อยอด พัฒนาการทำเกษตร ไปเป็นพืชและสัตว์เศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงได้ เช่น ทุเรียนคุณภาพและแพะพันธุ์พระราชทานในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผักปลอดภัยในจังหวัดกาฬสินธุ์ การแปรรูปผลผลิต ภายใต้ตราสินค้า "ภูธารา" ที่จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น ขณะที่มีพื้นที่พัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมแล้ว เช่น เพชรบุรีและอุทัยธานี
หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา กล่าวต่อไปว่า เป็นที่น่ายินดี ที่ผลการศึกษาการรับรู้และความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต้นแบบ 5 จังหวัด โดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อผลที่เกิดขึ้นในระดับสูงมากทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการทำงานของปิดทองหลังพระฯ ประกอบด้วย จังหวัดน่าน (2.24) อุดรธานี (2.53) เพชรบุรี (2.39) กาฬสินธุ์ (2.62) และอุทัยธานี (2.39) จากคะแนนเต็ม 3
"…จุดเด่นที่สำคัญในปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงต้น ๆ คือ ตอนเริ่มต้นเราทำงานใกล้ชิดกับส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำและผลผลิต แต่ปีที่ผ่านมาเกิดกระแสการร่วมงานกับเอกชนที่ชัดเจน มีภาคธุรกิจแสดงความสนใจเข้ามาร่วมกับปิดทองหลังพระฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่าสอดคล้องกับแนวพระราโชบาย สืบสาน รักษา ต่อยอด เป็นอย่างยิ่ง…"
สำหรับการดำเนินงานในช่วงปี 2561 นั้น พบว่าครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 การดำเนินการของปิดทองหลังพระฯ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งสถาบัน การศึกษา ภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้นแบบปิดทองหลังพระฯ ทั้ง 7 พื้นที่ 9 จังหวัด มีรายได้เพิ่มขึ้นรวม 113.7 ล้านบาท
สำหรับแนวทางในอนาคตนั้น หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา กล่าวเสริมว่า นอกจากการเพิ่มเติมความเข้มแข็งให้แก่พื้นที่ต้นแบบต่าง ๆ นี้แล้ว จะเพิ่มบทบาทในการนำแนวพระราชดำริไปพัฒนาชีวิตประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาความมั่นคง เช่น ในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่มีความรุนแรงและจังหวัดชายแดนเหนือที่เป็นแหล่งผ่านยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ นอกจากนี้กำลังพิจารณาแผนการจัดตั้งศูนย์จัดการและส่งเสริมองค์ความรู้การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ โดยการทำงานด้านพัฒนา ทุกคน โดยเฉพาะประชาชนเองต้องมีความซื่อสัตย์และขยัน รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันทำอย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง มีความอดทน เพื่อจะได้เห็นผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในที่สุด
สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกรกับนายทุน เพื่อให้สามารถประสานประโยชน์กันได้โดยไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบมากจนเกินไป