กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--บล.ทรีนีตี้
ทรีนีตี้ คาด SET Index เดือนมี.ค.62 แกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,700 จุด จับตา 4 ปัจจัยมีอิทธิพลต่อการลงทุน "พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่-MSCI-เลือกตั้ง-ประชุม Fed" แนะเลือกถือหุ้นปลอดภัย 3 กลุ่ม ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ราคายังคง Laggard กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและกลุ่มที่ราคารับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมิน SET Index ในเดือนมีนาคม 2562 ว่ามีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,700 จุด โดยดัชนีฯ ที่อยู่สูงกว่าระดับ 1,660 จุด ขึ้นไปเป็นดัชนีฯ ที่ซื้อขายอิงบนพื้นฐานของกำไรปีหน้าแล้ว เนื่องจากหากอิงบนกำไรปีนี้จะเทียบเท่าระดับ Forward PE เกินกว่า 15 เท่าไปแล้ว ทั้งนี้หากดัชนีฯ จะไปซื้อขายบน Valuation ของปีหน้านั้น ในเบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ขอใช้ระดับ Forward PE เพียง 14 เท่าเสียก่อน ซึ่งจากการคำนวณจะได้ระดับดัชนีฯเหมาะสมที่ 1,690 จุด และเป็นที่มาของแนวต้าน 1,700 จุด ในเดือนมีนาคมนี้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุนใหม่และเลือกถือหุ้นปลอดภัย 3 กลุ่ม จนกว่าดัชนีฯ จะมีการย่อตัวลงมาเสียก่อน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญประจำเดือนนี้ได้แก่ 1.ความเป็นไปได้ที่นักวิเคราะห์จะปรับลดประมาณการกำไรลงต่อ จากการที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น สืบเนื่องมาจากการบังคับใช้พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ซึ่งมีในส่วนของเงินชดเชยเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 2.ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังคงปรับตัวลงต่อ ซึ่งสะท้อนว่าตลาดนั้นได้รับรู้ปัจจัยบวกจากการเลื่อนเส้นตายการเจรจาการค้าไปพอสมควรแล้ว และ 3.การส่งออกของไทยที่หดตัวมากสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยเป็นผลมาจากเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า และผลพวงจากสงครามการค้า โดยกลุ่มที่ได้รับปลกระทบสำคัญยังคงได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับปัจจัยประคับประคองที่สำคัญ ได้แก่ การส่งสัญญาณผ่อนคลายต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยประเมินว่าการประชุม FOMC ในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้ มีโอกาส 50:50 ที่ Fed จะปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ลงจาก 2 ครั้งเหลือ 1 ครั้ง และมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับกำหนดเวลาการยุติโครงการลดขนาดงบดุลในช่วงถัดไป
ในส่วนของปัจจัยที่ต้องติดตามและเป็นได้ทั้งบวกและลบได้แก่ 1.ผลการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศวันที่ 24 มีนาคม รวมถึงหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่และนายกฯ คนใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อไปยังเสถียรภาพของรัฐบาลและการออกกฎหมายต่างๆในช่วงถัดไป 2.การประกาศผลการพิจารณาของ MSCI ว่าจะมีการนำข้อมูล NVDR เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นหรือไม่ ซึ่งหากมีการบังคับใช้จริง จะเป็นผลลบต่อกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้มีการจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติผ่าน NVDR แต่จะเป็นผลบวกต่อตัวหุ้นที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวที่อาจถูกนำเข้าสู่การคำนวณดัชนีใหม่ ได้แก่ INTUCH, DTAC, RATCH, CENTEL โดยการบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวอาจทำให้น้ำหนักของหุ้นไทยใน
ดัชนี MSCI EM ปรับตัวเพิ่มขึ้นสุทธิราว 0.5% 3.พัฒนาการของประเด็น Brexit ว่าจะมีการเลื่อนเส้นตายวันที่ 29 มีนาคมออกไปหรือไม่ หากไม่เลื่อน คาดจะเป็นปัจจัยสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้ ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มหุ้นปลอดภัย 3 กลุ่มที่แนะนำให้ถือต่อไปได้ ได้แก่ 1.หุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ราคายังคง Laggard ได้แก่ BBL 2.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, CENTEL 3.กลุ่มที่ราคารับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว ได้แก่ BDMS