กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า 'สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้' หรือ SHREIT เผยผลการดำเนินงาน โชว์รายได้ปี 2561ที่ 418.83 ล้านบาท ทำกำไรได้ 141.62 ล้านบาท จากคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง รับการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนเติบโตและแรงเสริมจากกลุ่มนักธุรกิจที่เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น ดันรายได้เฉลี่ยต่อห้องรวม (REVPAR) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมโชว์ราคาประเมินทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 143.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอกย้ำผู้บริหารกองทรัสต์มีความสามารถคัดเลือกสินทรัพย์ที่ดีเข้ากองทุน
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระที่บริหารโดยมืออาชีพ ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ SHREIT เปิดเผยว่า กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า 'สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้' หรือ SHREIT รายงานผลการดำเนินการในปี 2561 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 418.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 141.62 ล้านบาท
โรงแรมทั้ง 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าลงทุน มีผลการดำเนินงานขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มนักธุรกิจเป็นอย่างดี ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องรวม (REVPAR) ของโรงแรม IBIS Saigon South เพิ่มขึ้นร้อยละ7.1 โรงแรม Capri by Fraser เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 และโรงแรม Pullman Jakarta Central Park เพิ่มขึ้นร้อยละ 1
จากสภาพตลาดทุนที่ผันผวนในช่วงปลายปี 2561 เป็นผลให้กองทรัสต์ตัดสินใจเพิกถอนแผนการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 เพื่อเข้าลงทุนในโรงแรม 2 แห่ง ในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนจากการดำเนินการเข้าซื้อสินทรัพย์ และส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทรัสต์ ในไตรมาสที่ 4/2561 จึงเป็นเหตุให้กองทรัสต์เลื่อนการจ่ายเงินปันผลเฉพาะในงวดไตรมาส 4 ของปี 2561อย่างไรก็ตามผู้จัดการกองทรัสต์มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของกองทรัสต์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2562
ในช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมากองทรัสต์ ได้ทำการทบทวนการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินที่กองทรัสต์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 143.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากราคาซื้อสินทรัพย์ ณ วันที่จัดตั้งกองทรัสต์ซึ่งอยู่ที่ 130.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.6 และ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเงินลงทุนตามงบการเงิน ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ 138.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 3.6 ซึ่งการเพิ่มของมูลค่าประเมินของทรัพย์สินนั้น ตอกย้ำว่าผู้จัดการกองทรัสต์มีความสามารถในการเลือกเฟ้นทรัพย์สินที่สร้างความมั่งคั่ง และมีโอกาสการเติบโตให้แก่นักลงทุน
สินทรัพย์ที่กองทรัสต์เข้าลงทุน ประกอบด้วย 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง 2.โรงแรม Capri by Fraser ระดับ 4 ดาว โดยมีห้องพักจำนวน 175 ห้อง และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ล้วนเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วโดยอยู่ในทำเล ที่มีศักยภาพเป็นที่นิยมของผู้เข้าพักที่เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างชาติรวมถึงนักธุรกิจ นอกจากนี้ยังจับกลุ่มลูกค้าเข้าพักที่แตกต่างกัน โดยเป็นโรงแรมตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาว จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงในการจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ดี
โดยในช่วงต้นปี โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นทรัพย์สินของกองทรัสต์ ยังได้รับเกียรติจัดการประมูลภาพเขียนของ Mr. Joko Widodo ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียเพื่อระดมทุน ซึ่งจัดโดยทีมผู้สมัครรับเลือกตั้ง สะท้อนถึงศักยภาพของโรงแรมที่การันตีโดยรางวัลการให้บริการระดับสากล Best Luxury Art Hotel for Indonesia และ Best Hotel city Awards ของประเทศอินโดนีเซีย
ผู้จัดการกองทรัสต์ยังคงเชื่อมั่นในความสามารถของสินทรัพย์ที่กองทรัสต์เข้าลงทุนมีความโดดเด่นของศักยภาพทำเลที่ตั้งซึ่งกระจายอยู่ในประเทศที่มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีอัตราการขยายตัวที่ดี จะส่งผลให้ทรัพย์สินดังกล่าว สามารถสร้างรายได้เติบโตจากปัจจัยบวก รวมทั้งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องต่อไป