กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
กรมสรรพากรร่วมมือกับ 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธนาคาร แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ร่วมกันบูรณาการเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ โดยมีวัตถุประสงค์สนับสนุนให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้ถูกต้อง เพิ่มโอกาสในการทำธุรกรรมการเงิน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ร่วมลงนาม ในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสนับสนุนและกำกับดูแลผู้ประกอบการให้จัดทำบัญชีและงบการเงิน ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการระหว่าง 5 หน่วยงาน ซึ่งเป็นการยกระดับความร่วมมือ ครั้งสำคัญของภาครัฐและภาคเอกชนที่จะดำเนินการร่วมกันตามเจตนารมณ์ โดยกรมสรรพากรได้เสนอมาตรการยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีพร้อมชำระภาษีครบถ้วน โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายได้ทางภาษีไม่เกิน 500 ล้านบาท และได้ลงทะเบียนในระบบของกรมสรรพากรภายในระยะเวลาที่กำหนด และต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-Filing) ทุกประเภทภาษี เป็นระยะเวลา 1 ปีต่อเนื่อง
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า "ความร่วมมือของภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้ง 5 หน่วยงาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริง ของกิจการ จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคง มีความน่าเชื่อถือ เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคตอีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ SMEs ก่อให้เกิดการขยายตัว ของการแข่งขันทางธุรกิจ เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวแล้ว ผู้ประกอบการ SMEs ยังสามารถใช้งบการเงินที่ถูกต้องเป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อได้อีกด้วย โดยมาตรการดังกล่าว นอกจากจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทำบัญชีให้ถูกต้องและตรงกับสภาพที่แท้จริง ของกิจการแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-Filing) มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ "Thailand 4.0" และยุทธศาสตร์ของกรมสรรพากร D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Values และ Efficiency) ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและประเทศชาติต่อไป"
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า "ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงปัจจุบัน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการเชื่อมโยงส่วนของฐานข้อมูลงบการเงินที่ผู้ประกอบการ SMEs นำส่งต่อกรม ทางระบบ DBD e-Filing ไปยังฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องยื่นแบบเสียภาษีอากรได้รับความสะดวก ไม่ต้องแนบงบการเงินซ้ำ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มที่อยู่ในเงื่อนไขได้รับการยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม และประสงค์จะส่งงบการเงินฉบับใหม่เพื่อทดแทนฉบับเดิมที่มีข้อผิดพลาด กรมได้เปิดช่องทาง Fast Track ในการนำส่งงบการเงินฉบับใหม่ผ่านทางระบบ DBD e-Filing"
นางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน กล่าวว่า "เพื่อส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการ SMEs จัดทำบัญชีและงบการเงินที่สะท้อนสถานะทางการเงินอย่างโปร่งใส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้ใช้งบการเงินที่ลูกค้าแสดงต่อกรมสรรพากรในการยื่นรายการภาษีเงินได้ ซึ่งสะท้อนถึงฐานะ และผลประกอบการในอดีตเป็นปัจจัยสำคัญประกอบการพิจารณาสินเชื่อ โดยอาจนำปัจจัยเชิงปริมาณหรือปัจจัย เชิงคุณภาพอื่น ๆ เช่น แผนธุรกิจ คำขอเสนอซื้อสินค้า มาใช้ในการประเมินศักยภาพของธุรกิจและความสามารถ ในการชำระหนี้คืนของผู้กู้ได้ ซึ่งแนวนโยบายดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวของภาครัฐสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ตลอดจนเพื่อสร้างความโปร่งใสและยกระดับธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจ อันจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในระยะยาว ธปท. จึงได้สนับสนุนให้สถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีมาตรการจูงใจสำหรับลูกค้าที่มีงบการเงิน ที่โปร่งใส เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมรวมทั้งสนับสนุนให้มีมาตรการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการทำบัญชี แก่ผู้ประกอบการด้วย"
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า "สภาวิชาชีพบัญชีฯ จะช่วยผลักดันและร่วมมือกับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชนให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบการจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง แม้ว่าการกระทำต่างๆ จะทำให้บรรลุเป้าหมายยากลำบาก เพราะเกี่ยวข้องกับหลายส่วน เช่น ผู้ประกอบการ วิธีปฏิบัติ ฯลฯ แต่เมื่อปัจจุบัน รัฐบาลผ่อนผันแนวทางปฏิบัติให้ปรับบัญชีให้ถูกต้อง ผู้ประกอบการ SMEs ควรส่งมอบข้อมูลพื้นฐานที่เกิดขึ้นตามจริงแก่นักบัญชี เช่น การซื้อ ขาย จ่าย รับ เพื่อนักบัญชีจะได้นำข้อมูลบันทึกรายการตามจริงได้ นอกจากนี้ สภาวิชาชีพบัญชีฯ ตระหนักถึงความยุ่งยากในการดำเนินกิจการว่า ต้องใช้เวลาและความพยายามในการดำเนินการมาก จึงหาทางช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนการทำงานเพื่อให้นักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น จึงพัฒนาระบบ "Application SME สบายใจ" ให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ใช้ภายในเดือนเมษายน 2562 นี้"
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า "กกร. ได้มีการผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs จัดทำบัญชีให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง ดังนั้น กกร. จะเป็นศูนย์กลางการให้ข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเราได้รับข่าวดี ที่กรมสรรพากรได้เสนอมาตรการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการเพื่อสนับสนุน ให้จัดทำบัญชีให้ถูกต้อง โดยยกเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร ที่เกี่ยวข้อง ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้สมาชิกของ กกร. ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า แห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ประชาสัมพันธ์และจัดทำสื่อต่างๆ จัดงานสัมมนากว่า 10 ครั้ง ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบบัญชีเดียวมาโดยตลอด ซึ่งการเสนอมาตรการส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการอันเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบ SMEs ของกรมสรรพากร ถือเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการที่จะดำเนินการจัดทำบัญชีให้ถูกต้องนับจากนี้ มิฉะนั้นผู้ประกอบการจะมีความเสี่ยงในการทำธุรกรรมทางการเงินและการแข่งขันทางธุรกิจ"