กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--เอฟเอคิว
บริษัท นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านระบบคลาวด์คอมพิวติ้งสำหรับองค์กร เปิดเผยว่า ธุรกิจบริการทางการเงินมีการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์แซงหน้าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีการติดตั้งใช้งานไฮบริดคลาวด์ในอัตราที่สูงถึง 21% เปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 18.5% ข้อมูลดังกล่าวปรากฏอยู่ในรายงานดัชนีคลาวด์ระดับองค์กร (Enterprise Cloud Index Report) ของนูทานิคซ์ ซึ่งทำการสำรวจเกี่ยวกับการปรับใช้ระบบคลาวด์ภายในองค์กร ระบบคลาวด์สาธารณะ และระบบไฮบริดคลาวด์ ของบริษัทด้านการเงิน
สถาบันการเงินในปัจจุบันกำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ควบคู่กับการนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้า และจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น บล็อกเชน นอกจากนี้การเกิดขึ้นของฟินเทคบวกกับภาระที่เพิ่มขึ้นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัว และปัญหาเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศจำเป็นต้องปรับปรุงพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ ทั้งนี้รายงานดังกล่าวระบุอย่างชัดเจนถึงแนวทางของอุตสาหกรรมบริการด้านการเงินในการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้
ผลสำรวจพบว่า สถาบันการเงินจำนวนมากยังคงประสบปัญหาในการปรับปรุงสถาปัตยกรรมไอทีรุ่นเก่าและกระบวนการต่างๆ ส่งผลให้การดำเนินงานขาดประสิทธิภาพ และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหล รายงานยังระบุว่า สถาบันการเงินใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์รุ่นเก่ามากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยสัดส่วนการใช้งานอยู่ที่ 46% แม้ว่าสถาบันการเงินจะมีความก้าวหน้าในเรื่องการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ แต่ยังคงมีระดับการใช้งานระบบคลาวด์ภายในองค์กรต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยสัดส่วนอยู่ที่ 29% เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 33%
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ กลุ่มสถาบันการเงินมองว่าความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดที่ทำให้องค์กรตัดสินใจว่าจะรันเวิร์กโหลดไว้ที่ใด นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมดระบุว่า ประสิทธิภาพ การจัดการ และค่าใช้จ่าย TCO เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี กว่า 25% ชี้ว่า ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดความท้าทายในการปรับใช้ระบบคลาวด์สาธารณะเช่นกัน เช่นเดียวกับกรณีของการปรับใช้โซลูชั่นด้านไอทีใหม่ๆ เกณฑ์ที่สำคัญที่สุดก็ถือเป็นเป้าหมายที่บรรลุได้ยากที่สุดเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างความต้องการที่สูงมากในการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ กับอัตราการใช้งานไฮบริดคลาวด์ในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเพียงแค่ 21% ในอุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน
เป็นที่คาดการณ์ว่าการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากสภาพแวดล้อมไอทีมีลักษณะเป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น และมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่องค์กรต่างๆ จะสามารถเลือกซื้อ สร้าง หรือเช่าทรัพยากรด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีตามความต้องการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ระบุไว้ในรายงานดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
- ภาคธุรกิจการเงินให้ความสำคัญกับการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นระหว่างระบบคลาวด์ หรือ Application Mobility ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเคลื่อนย้ายแอปและเวิร์กโหลดไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ภายในองค์กรและคลาวด์สาธารณะ โดยขึ้นอยู่กับชนิดของเวิร์กโหลด และค่าใช้จ่าย โดยอาศัยการจัดการและการดำเนินการแบบครบวงจร ทั้งนี้ธุรกิจบริการด้านการเงิน และอุตสาหกรรมอื่นๆ เลือกความสามารถในการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นระหว่างระบบคลาวด์เป็นข้อดีอันดับหนึ่งของไฮบริดคลาวด์ โดยเลือกบ่อยครั้งที่สุดเป็นอันดับสอง และสถาบันการเงินเลือกตัวเลือกดังกล่าวบ่อยครั้งกว่า 3% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย นอกจากนี้ 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามในอุตสาหกรรมการเงินมองว่า การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นไปมาระหว่างระบบคลาวด์ถือเป็นสิ่ง "จำเป็น"
- สถาบันการเงินควบคุมค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ได้ดีกว่า อีกหนึ่งแรงจูงใจในการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ก็คือ ความต้องการขององค์กรในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรที่ใช้ระบบคลาวด์สาธารณะใช้จ่าย 26% ของงบประมาณไอทีรายปีไปกับบริการคลาวด์สาธารณะ โดยตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มเป็น 35% ในช่วงสองปีข้างหน้า นอกจากนั้น กว่าหนึ่งในสาม (36%)ขององค์กรที่ใช้บริการคลาวด์สาธารณะระบุว่า ยอดใช้จ่ายด้านคลาวด์สาธารณะขององค์กรสูงเกินกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ ขณะเดียวกัน 33% ของผู้ตอบแบบสอบถามในภาคธุรกิจการเงินระบุว่ามียอดใช้จ่ายสูงเกินงบประมาณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจการเงินสามารถจัดการค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์สาธารณะได้ดีกว่าเล็กน้อย
- ทักษะด้านไอทีเป็นอุปสรรคต่อการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ในอุตสาหกรรมการเงิน แม้ว่า 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าไฮบริดคลาวด์จะส่งผลดีต่อธุรกิจ แต่ฝ่ายไอทีในปัจจุบันยังคงขาดแคลนทักษะด้านไฮบริดคลาวด์ ทักษะดังกล่าวถือว่าขาดแคลนเป็นอันดับที่สอง รองจากทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning (AI/ML) โดยทั่วไปแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามในภาคธุรกิจบริการด้านการเงินรายงานว่ามีการขาดแคลนทักษะทุกประเภทในระดับที่สูงกว่าเล็กน้อย ยกเว้นทักษะด้าน AI/ML
91% ของสถาบันการเงินที่ตอบแบบสอบถามระบุว่า ไฮบริดคลาวด์คือรูปแบบไอทีที่เหมาะสมที่สุด ความเชื่อมั่นในระบบไฮบริดคลาวด์ และการที่ภาคธุรกิจการเงินมีการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์สูงกว่าค่าเฉลี่ย น่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการตระหนักถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล อย่างไรก็ดี ข้อมูลกลับแสดงให้เห็นว่ามีการปรับใช้ระบบคลาวด์ภายในองค์กรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกของอุตสาหกรรมต่างๆ คำอธิบายที่เป็นไปได้ก็คือ สถาบันการเงินบางแห่งยังคงต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรุ่นเก่าที่มีอยู่ให้ทันสมัย
นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทยของนูทานิคซ์ กล่าวว่า "การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ประกอบกับกฎระเบียบ และการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากกว่าเดิม ส่งผลให้อุตสาหกรรมโดยรวมจำเป็นต้องประเมินความสามารถ และความเหมาะสมของโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่มีอยู่ มาตรฐานใหม่ในปัจจุบันก็คือ สภาพแวดล้อมที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับบริการที่ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละองค์กร โดยขึ้นกับสถานที่ เวลา และวิธีการที่ลูกค้าต้องการ และข่าวดีก็คือ ในอุตสาหกรรมนี้ ลูกค้าและบริษัทต่างๆ ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์กันบ้างแล้ว แต่ความท้าทายก็คือ อัตราการใช้งานยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่า 20% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นองค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงอีกมาก เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าที่มีความรู้และความต้องการเพิ่มมากขึ้น และมอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้แก่ลูกค้า"
นูทานิคซ์มอบหมายให้แวนสัน บอร์น (Vanson Bourne) ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจด้านไอทีกว่า 2,300 คน รวมถึงผู้บริหารจากสถาบันการเงินทั่วโลก333 คน ในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ในการรันแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจในปัจจุบัน รวมถึงแผนการในอนาคตของระบบที่จะใช้รันแอปพลิเคชั่นดังกล่าว ปัญหาท้าทายที่พบเจอเกี่ยวกับระบบคลาวด์ และความสำคัญของโครงการด้านคลาวด์เมื่อเทียบกับโครงการ และภารกิจอื่นๆ ทางด้านไอที ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย มีขนาดธุรกิจ และภูมิภาคที่แตกต่างกัน มีทั้งทวีปอเมริกา ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกลาง และแอฟริกา (EMEA) และเอเชีย-แปซิฟิก และญี่ปุ่น (APJ)
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานระดับโลกดังกล่าว สามารถดาวน์โหลดรายงาน "Nutanix Enterprise Cloud Index 2018" ได้ที่นี่
เกี่ยวกับนูทานิคซ์
นูทานิคซ์เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ และโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ช่วยให้ฝ่ายไอทีไม่ต้องกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และสามารถมุ่งเน้นกับความสำคัญบนแอปพลิเคชั่น และบริการที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ บริษัททั่วโลกใช้ซอฟต์แวร์ Enterprise Cloud OS ของนูทานิคซ์ เพื่อให้บริหารจัดการแอปพลิเคชั่นได้ในคลิกเดียวและสามารถโยกย้ายไปมาได้ทั้งพับลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และดิสทริบิวเต็ดเอจด์คลาวด์ ดังนั้นจึงสามารถใช้แอปพลิเคชั่นได้ทุกขนาด และทุกรูปแบบด้วยต้นทุนรวมที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้องค์กรสามารถให้บริการสภาพแวดล้อมไอทีประสิทธิภาพสูงตามความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ดูแลการทำงานของแอปพลิเชั่นต่างๆ สัมผัสประสบการณ์เสมือนคลาวด์อย่างแท้จริง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nutanix.com หรือติดตามเราได้ที่ทวิตเตอร์ @nutanix