กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--พลัส พร็อพเพอร์ตี้
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลวิจัยตลาดอสังหาฯ ระดับลักซ์ชัวรี่น่าจับตา หลังพบมูลค่าตลาดเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 7% เหตุเจาะกลุ่มกำลังซื้อสูง แถมยังถูกจัดเป็นโครงการเพื่อการลงทุน ล่าสุดพบผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 7-10% และสามารถทำการขายได้เร็วกว่าโครงการทั่วไป พบ 31% ขายได้หมดภายใน 1 ปี พร้อมเผยเคล็ดลับความสำเร็จโครงการลักซ์ชัวรี่จาก 3 ปัจจัย 1. ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ 2. มีพันธมิตรระดับโลกเพิ่มศักยภาพโครงการ 3. บริการหลังการขายระดับมืออาชีพ
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์พบว่าในปี 2562 อสังหาริมทรัพย์ที่เจาะกลุ่มผู้ซื้อระดับลักซ์ชัวรี่จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการมีทิศทางการพัฒนาที่เจาะกลุ่มลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แม้ว่าในปีนี้จะมีความท้าทายมากมายในตลาดทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งการพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มผู้ซื้อระดับลักซ์ชัวรี่ มีความคุ้มค่าต่อความท้าทายในการหาพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีหายากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในการรวบรวมที่ดินเป็นแปลงใหญ่เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการให้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่
อย่างไรก็ตามพบว่าการเติบโตของมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ย้อนหลังจากปี 2555-2561 เติบโตเฉลี่ยปีละ 7% แม้ว่าช่วง 7 ปีที่ผ่านมาการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวา อีกทั้งเศรษฐกิจโลกก็ยังมีความเสี่ยงต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังพบว่าคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่มียอดการตอบรับเฉลี่ยที่น่าสนใจ จากปี 2557-2561 มียอดตอบรับเฉลี่ย 70% และอุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเป็นสินค้าที่ในแต่ละปีจะมีการพัฒนาค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ที่มีในตลาด ส่งผลให้เมื่อมีการพัฒนาโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นจึงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าผู้ซึ่งมีกำลังซื้อสูง ส่วนอัตราการดูดซับของโครงการระดับลักซ์ชัวรี่อยู่ที่ประมาณ 15 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน ขณะที่โครงการทั่วไปมีอัตราการดูดซับอยู่ที่ 22 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน จากตัวเลขดังกล่าวที่โครงการลักซ์ชัวรี่มีอัตราการดูดซับน้อยกว่าซึ่งก็เป็นไปตามสัดส่วนที่มีอุปทานน้อยกว่า แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนของโครงการที่สามารถขายได้เร็วกว่า 1 ปี จะพบว่าโครงการระดับลักซ์ชัวรี่มี 31% ของโครงการทั้งหมดที่สามารถขายหมดได้เร็วกว่า 1 ปี ขณะที่โครงการทั่วไปจาก 417 โครงการจะมีเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถขายหมดได้เร็วกว่า 1 ปี อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ได้รับความสนใจเนื่องจากจัดเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนชนิดหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา โดยอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มลักซ์ชัวรี่นั้นให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยสูงถึง 7-10% โดยเฉพาะโซนสุขุมวิทชั้นในจนถึงทองหล่อมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับสูงที่ราว 9.5%
สำหรับความสำเร็จของโครงการระดับลักซ์ชัวรี่นั้น มาจากปัจจัยหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. Prime Location ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ ย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง เป็นทำเลหายากและเป็นที่ต้องการของผู้อยู่อาศัยตลอดเวลา ราคาที่ดินและราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2. Smart Partnership ร่วมมือกับคู่ค้าทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาโครงการทั้งการก่อสร้างและการบริการ เช่นการจับมือกับดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมให้มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ดังเช่นการออกแบบงานศิลปะที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก 3. Exclusive Service การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตด้วยบริการที่เหนือระดับมาตรฐาน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ เช่น การเลือกใช้บุคลากรในการดูแลโครงการระดับบัตเลอร์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับระดับโลก สามารถให้บริการที่ออกแบบเฉพาะในแต่ละโครงการที่ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน
"ในปี 2562 มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เจาะกลุ่มลักซ์ชัวรี่จะกลับมาสร้างสีสันอีกครั้ง เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง กลุ่มนักลงทุน รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งในเดือนเมษายนปีนี้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อระดับลักซ์ชัวรี่ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เนื่องจากมาตรการนี้ระบุให้เพิ่มเงินดาวน์ตามเกณฑ์ใหม่เป็น 20% และให้สินเชื่อไม่เกิน 80% ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายประเทศที่มีมาตรการวางเงินดาวน์สูงกว่ามาตรการใหม่ของไทย เช่น สิงคโปร์ อยู่ที่ 75% มาเลเซีย และเกาหลีใต้อยู่ที่ 70% และฮ่องกงอยู่ที่ 65% มาตรการของไทยจึงไม่มีผลกระทบต่อนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว" นายอนุกูล กล่าว