กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--เครือเจริญโภคภัณฑ์
เครือเจริญโภคภัณฑ์ประกาศวิสัยทัศน์ปี 2551 เร่งสร้างคนเก่งรองรับการขยายตัวของธุรกิจ กำชับพิเศษให้ปลูกป่าในทุกพื้นที่ที่เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรทำพืชไร่ เชื่อมั่นวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯไม่กระทบเศรษฐกิจไทย เพราะไทยมีบ่อน้ำมันบนดิน
เมื่อไม่นานมานี้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ประจำปี 2551 โดยกล่าวว่าในปีนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการลงทุนไปที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัว และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดี ได้แก่ จีน อินเดีย เวียดนาม และรัสเซีย เป็นต้น ทั้งนี้ขอให้ผู้นำทุกกลุ่มธุรกิจเร่งสร้างและพัฒนาคนเก่ง โดยการให้โอกาสแก่คนรุ่นใหม่ที่อายุน้อย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในเครือฯ โดยเฉพาะธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์มั่นใจว่าธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ผลิตพลังงานของมนุษย์ ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์มีความพร้อมทั้งธุรกิจสัตว์บกและสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีทันสมัยและความสำเร็จในการพัฒนาสายพันธุ์ ล่าสุดรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อนุมัติให้เครือฯสามารถนำสุกรพันธุ์เข้าไปในจีนได้ เช่นเดียวกับในรัสเซียที่เครือฯกำลังเข้าไปลงทุนทำธุรกิจสุกรครบวงจร ก็ได้อนุญาตให้นำสุกรพันธ์ของเครือฯเข้าไปในรัสเซียได้เช่นกัน
“วันนี้เราเต็มไปด้วยโอกาส แต่ขาดคน ต้องช่วยกันสร้างคน อย่าไปมองว่าคนอายุ 20 กว่าว่าเป็นเด็ก เพราะตอนที่ผมได้มีโอกาสรับผิดชอบงานใหญ่ก็ตอนอายุ 21 ปีเท่านั้น” นายธนินท์ กล่าว
ในการประกาศวิสัยทัศน์ประจำปี 2551 ครั้งนี้ นายธนินท์ ได้เน้นถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำลำธาร ที่ผ่านมาเครือฯได้ปลูกป่าไปแล้วกว่า 100,000 ไร่ทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ.2537-2542 ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในการนี้นายธนินท์ได้กล่าวว่าเครือฯไม่มีนโยบายให้เกษตรกบุกรุกพื้นที่ป่า และยังได้มอบนโยบายทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯให้ความสำคัญกับการปลูกป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เครือฯเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรทำพืชไร่
เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน นายธนินท์ยังมั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ความเสี่ยงสูง(Sub-Prime) จากสหรัฐอเมริกามากเท่าใดนัก และยังสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยใช้สินค้าเกษตรเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะผืนแผ่นดินของไทยมีความอุดมสมบูรณ์เสมือนมี“บ่อน้ำมันบนดิน”ที่ใช้ไม่มีวันหมด กล่าวคือเราสามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้ตลอดเวลา จะเห็นได้จากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก อาทิ ข้าว และยางพารา เป็นต้น และปัจจุบันสินค้าเกษตรมีความสำคัญยิ่งสามารถนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันได้ ได้แก่ ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง
ในการนี้ นายธนินท์ได้เรียกร้องให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว และยางพารา ซึ่งนายธนินท์ได้เสนอยุทธศาสตร์เปลี่ยนคู่แข่งในสนามการค้ามาเป็นพันธมิตร ด้วยการรวมพลังกันกับประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรกำหนดราคาขายสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น เหมือนกับที่กลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมันรวมตัวกันกำหนดราคาขายน้ำมันในตลาดโลก ก็จะทำให้สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้นและมีค่าเทียบเท่าน้ำมัน เกษตรกรที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศก็จะมีรายได้ดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นตามไปด้วย
นายธนินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคต เนื่องจากยังมีความต้องการใช้ยางพาราในตลาดโลกอีกมาก โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและมีการขยายตัวเศรษฐกิจดีได้แก่ จีน อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งมีอัตราการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น หากผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลกที่มีเพียง 3 ประเทศคือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สามารถจับมือกันได้ ก็จะทำให้ยางพาราเป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาสูงเหมือนกับน้ำมันได้
ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เชื่อว่ายังมีโอกาสเปิดให้ซี.พี. ทำธุรกิจอีกมากมาย หากสามารถสร้างคนเก่งได้ตามที่ประกาศวิสัยทัศน์ไว้ ก็มั่นใจว่าซี.พี.จะสามารถก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำของโลกได้อย่างแน่นอน
สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์
โทรศัพท์ 02-625-8127-30