กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทย ยังแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระบุ ปัจจัย การจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่ชัดเจน ในขณะนี้คาดการผลประกอบการกลุ่มแบงก์ Q1/62 ส่อแววหดตัว 2.27% YoY แนะควรลงทุนหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น ชู10 หุ้นเด่น BGRIM-SSP-AOT-ERW-AMATA-WHA-BEM-EKH-BCH-BDMS ยังมีเสน่ห์ น่าลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ฝ่ายวิจัยมองดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ SET Index ยังคงแกว่งตัวตามกรอบสัญญาณทางเทคนิคแคบๆ เนื่องจากยังมีปัจจัยลบจากเรื่องความมีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดกรณีสัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้าน อีกทั้ง Bloomberg Consensus คาดกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วง 1Q/62 หดตัว 2.27% YoY ซึ่งผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น Leading Indicator ของ Real Sector ท่ามกลางความผันผวนจากดัชนีมีโอกาสย่อตัวเข้าหาฐานแนวรับ 1,640 จุด
ดังนั้นฝ่ายวิจัย AECS มองว่า เป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแรง 4 กลุ่ม อาทิ กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดและมีลักษณะคล้าย Fixed Income ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ หุ้นBGRIM เนื่องจาก บริษัทฯตั้งเป้ารายได้โต 15-20 % YoY หลังรับรู้รายได้โครงการ ABPR3 ,ABPR4 และ ABPR5 กำลังผลิตไฟรวม 399 MW เต็มปี บวกกับมีโครงการใหญ่ที่จะCOD ในปี62 ทั้งโครงการSolar DTE1&2 กำลังผลิต420MW และโครงการ Phu Yen TTP อีก 257MW ซึ่งบริษัทคาดเริ่มCOD ในช่วง2H62 หุ้นSSP มองว่าในปี62 บริษัท ตั้งเป้าCOD เพิ่ม65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16MW และ โซลาฟาร์ม เวียดนาม 49.6 MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1 MW
นอกจากนี้ ยังแนะนำกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากได้อานิสงส์บวก จากการท่องเที่ยวในประเทศที่คึกคัก แนะนำ หุ้นAOT เพราะจากช่วงสงกรานต์มีแนวโน้มผู้โดยสารโต YoY แล้วในช่วง ม.ค.-ก.พ. 62 จำนวนเที่ยวบินโต 5.59% YoY และจำนวนผู้โดยสารโต 3.47% YoY ขณะที่หุ้น ERW มองเป้ารายได้ปี 62 โต 10-15% YoY จากการเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งให้ปีนี้ แบ่งเป็นโรงแรม Hop Inn 7 แห่ง 573 ห้อง และโรงแรมขนาดกลาง 2 แห่ง จำนวนห้องรวม 501 ห้อง อีกทั้งตั้งเป้า RevPar ไม่รวม Hop Inn โต 3-5%YoY และOccupancy Rate ที่ 80% ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง
กลุ่มนิคม และโลจิสติกส์ กลุ่มนิคม อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่นแนะนำ หุ้นAMATA มองว่า ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,274 ไร่ , พื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,837 ไร่ และที่ดินสำหรับ Commercial Area รวม 1,227ไร่ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 1,005 ไร่จากปี ก่อนที่มียอดขายรวม 863ไร่) , หุ้นWHA ดาดได้แรงหนุนจากธุรกิจนิคมและโลจิสติกส์ที่เติบโตดี โดยบริษัทตั้งเป้าขายที่ดินใหม่ 1,600 ไร่ จากปี ก่อนมียอดขาย 1,232 ไร่ หลังล่าสุดเปิดตัวนิคมแห่งใหม่ พื้นที่ 2,000ไร่ ซึ่งมีลูกค้าจีน เตรียมเซ็นสัญญาซื้อแล้วราว 285 ไร่ พร้อมปรับราคาขายและค่าเช่าที่ดินในเขต EEC ขึ้นอีก 10% นอกจากนี้มองกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ได้อานิสงส์บวกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แนะนำ หุ้นBEM โดยตั้งเป้าปีนี้ ธุรกิจรถไฟฟ้า มีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 5-7%YoY จากปี ก่อนมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.1แสนเที่ยวคน วันทั้งนี้ ตั้งเป้าปี 64 จำนวนผู้โดยสาร จะแตะ 5-5.5 แสนเที่ยวคนต่อวัน จากการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ก.ย. 62 และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มี.ค. 63 ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 1-2%YoY ใกล้เคียงปี ก่อนที่เติบโต 1.3%YoY)
ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาล เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจยามตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยทางฝ่ายวิจัย มองว่าหุ้นที่ยังมี Upside ได้แก่ หุ้นEKH เพราะ ปี 62 ตั้งเป้ารายได้โตหนุนด้วยการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) พระราม 9 สามารถให้บริการได้เต็มปี ทำให้สามารถรองรับคนไข้เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจาก 300 ราย/ปี จากเดิมที่ 200 ราย/ปี นอกจากนี้ เตรียมเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ ในช่วงต้นปี 62ซึ่งจะมีจำนวนห้องและเตียงเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 53 เตียงจากเดิมที่มี 86 เตียง) หุ้นBCH ได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงโรงพยาบาลในเครือ และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ พร้อมกับแนวโน้มสดใสของ WMC และ IVF) และหุ้น BDMS ที่มีการคาดกำไรปี 62โต YoY จากแผนยกระดับการให้บริการที่เน้นกลุ่มโรคซับซ้อนมากขึ้น และพัฒนาการของโครงการ Wellness Clinic รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM ซึ่งคาดจะบันทึกในช่วง 1Q62 (4.6 ล้านหุ้น ที่ราคา 2,800 บาท/หุ้น) ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน)
ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลัก คือ การเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีหุ้นยังมีโอกาสผันผวนตามทิศทางกำไรของหุ้นที่จะประกาศออกมาโดยตลาดคาดว่ากำไรช่วง 1Q62 จะหดตัว 4.3%YoY อีกทั้งนักลงทุนรอการประกาศตัวเลข เศรษฐกิจของจีนโดยตลาดคาดว่า GDP ของจีนจะอยู่ที่ระดับ 6.3%YoY เติบโตต่ำสุดในรอบ 27 ปี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมีตลาดมีความชัดเจนจากการที่ EU เห็นชอบขยายเวลา Brexit ออกไปจากวันที่ 12 เม.ย. เป็นวันที่ 31 ต.ค. โดยเป็นการขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน และรายงานการประชุม FED ยังคงไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้แต่หาก เศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เช่นกัน