PwC คาดนิวยอร์ก ลอนดอน ฮ่องกง ครองแชมป์ตลาดหุ้นที่นักลงทุนสนใจลงทุนมากที่สุดในปี 73

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 18, 2019 13:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ - ตลาดหลักทรัพย์ในตลาดที่พัฒนาแล้ว มีความสามารถในการฟื้นตัวได้ดี เพราะได้รับประโยชน์จากสภาพคล่องและความมีเสถียรภาพ - คาดบริษัทสัญชาติจีน-อินเดียจะมีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มากที่สุดในปี 2573 แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ จะมีทิศทางค่อนข้างซบเซากว่าที่คาด - 70% ของผู้ถูกสำรวจ คาดจะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต แม้จะมองว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่มีความสำคัญลดน้อยลง - ตัวเลือกของการระดมทุนมีมากขึ้น ขณะที่การลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ไพรเวทอิควิตี้ ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน PwC เผยรายงานพบตลาดหุ้นนิวยอร์ก-แนสแด็ก-ลอนดอน และฮ่องกง จะได้รับความสนใจการลงทุนจากนักลงทุนมากที่สุดในปี 2573 พร้อมระบุว่า การลงทุนหุ้นนอกตลาด กำลังเป็นตัวเลือกของการระดมทุนที่ได้รับความสนใจจากบริษัทหลายแห่ง ด้านตลาดหุ้นไทยติดอันดับตลาดหุ้นที่จะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนสูงที่สุดของโลก ร่วมสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นาย บุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงาน Clients and Markets และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี ด้านธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Capital Markets in 2030 ที่ทำการสำรวจโดย The Economist Intelligence Unit ในนามของ PwC คาดว่า ตลาดหลักทรัพย์ในโลกที่นักลงทุนสนใจพิจารณาลงทุนมากที่สุดในปี 2573 นอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์ในประเทศของตนเอง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) ที่ 37% ตามมาด้วยตลาดหุ้นแนสแด็ก (National Association of Securities Dealers Automated Quotations: NASDAQ) ที่ 26% ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange: LSE) ที่ 24% และ ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) ที่ 24% เท่ากัน ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ ทำการสำรวจผู้บริหารจำนวนเกือบ 400 รายทั่วโลกเกี่ยวกับมุมมองต่อปัจจัยที่สะท้อนถึงการพัฒนาตลาดทุนทั่วโลก ต่อเนื่องจากรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2554 โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ยังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากคราวก่อนที่ผู้ถูกสำรวจคาดว่า ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange: SSE) จะเป็นแชมป์ตลาดหุ้นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในปี 2568 ตามมาด้วย ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ตลาดหลักทรัพย์อินเดีย และ ตลาดหลักทรัพย์บราซิล (Sao Paulo Stock Exchange: Bovespa) นาย รอส ฮันเตอร์ หัวหน้าศูนย์ไอพีโอ ทั่วโลก ของ PwC สหราชอาณาจักร กล่าวว่า: "มุมมองต่อกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ดูจะเป็นบวกมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ได้ถูกกดดันโดยปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยแวดล้อมสภาพตลาด ทำให้ตอนนี้ความคาดหวังของการแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ถือว่า ใกล้เคียงสูสีกันมาก" หากพิจารณาจำนวนของบริษัทที่ต้องการระดมทุนในตลาดหลักทรัย์ ผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) พบว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (55%) เป็นประเทศที่ถูกคาดการณ์ว่า จะมีผู้ทำการระดมทุนมากที่สุดในปี 2573 ตามด้วย อินเดีย (45%) สหรัฐอเมริกา (41%) บราซิล (21%) และ สหราชอาณาจักร (18%) แม้จะมีปัจจัยความกังวลเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ เบร็กซิท ก็ตาม โดยทั้งจีนและอินเดีย ยังเป็น 2 ประเทศผู้นำในการจัดอันดับประเภทนี้จากผลสำรวจคราวก่อน รายงานชี้ว่า ทั้ง 2 ประเทศได้มีการหามาตรการและขั้นตอนในการพัฒนาตลาดทุนของตัวเองมาโดยตลอด เห็นได้จากโครงการและความคิดริเริ่มในด้านต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน นอกจากนี้ สภาพคล่อง (Liquidity) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกสำหรับนักลงทุนในการเลือกแหล่งที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำการเข้าจดทะเบียน โดยผู้ถูกสำรวจถึง 49% เห็นตรงกันในจุดนี้ นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องของการประเมินมูลค่า (Valuations) และต้นทุนในการจดทะเบียน (Cost of listing) ก็มีผลต่อการตัดสินใจระดมทุนของบริษัทที่ 32% และ 29% ตามลำดับ ทั้งนี้ PwC คาดว่า เทคโนโลยีจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่ออนาคตของบริษัทมหาชน โดยปัจจุบันศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำหลายแห่งของโลก ได้มีการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการระดมทุนจากบริษัททางด้านเทคโนโลยีและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งต่อไปคาดว่า การแข่งขันจะยิ่งทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และ ตลาดหลักทรัพย์จีน (รวมจีนแผ่นดินใหญ่ และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง) ผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า ตัวเลือกในการระดมทุนของบริษัทได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย 76% ของผู้ถูกสำรวจเชื่อว่า ในปัจจุบันมีตัวเลือกในการระดมทุนมากกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนในตลาด หรือนอกตลาด ทั้งในส่วนของตลาดที่พัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ แม้ว่า 70% ของผู้ถูกสำรวจเชื่อว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นแหล่งระดมทุนที่มีความสำคัญลดน้อยลง แต่ผู้ถูกสำรวจในสัดส่วนเท่ากันก็คิดว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่ต้องการประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ 55% ของผู้ถูกสำรวจ ยังมองว่า ไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity) หรือการลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Private company) เป็นตัวเลือกของการระดมทุนนอกตลาดที่มีความน่าดึงดูดมากที่สุด นาย รอส กล่าวว่า: "ไพรเวทอิควิตี้ เข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยส่งผลให้ไอพีโอในระยะหลังมีจำนวนน้อยลง แต่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใหม่" ด้วยเหตุนี้ หลายบริษัทจึงได้มีการพิจารณาให้การลงทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือการลงทุนนอกตลาด เป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญควบคู่ไปกับตลาดหุ้นมากขึ้น แทนที่จะเห็นเป็นคู่แข่งกัน นาย รอส กล่าวสรุปว่า "ตลาดหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือ จะยังคงเป็นตัวเลือกในการเข้าไปจดทะเบียนของบริษัทโดยทั่วไป ขณะที่ตัวเลือกในการระดมทุนนอกตลาด จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนให้แก่นักลงทุนในยามที่ต้องการได้" นาย บุญเลิศ กล่าว ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่บริษัททั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ให้ความสนใจ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้ธุรกิจ ซึ่งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2552-2561) มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) จำนวนทั้งสิ้น 305 บริษัท มีมูลค่าระดมทุนถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 7.7 แสนล้านบาท "สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่เราพบจากผลสำรวจ คือ การที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทย ติด 1 ในตลาดชั้นนำที่ถูกคาดการณ์ว่า จะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนมากที่สุดในโลกในปี 2573 เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่าง ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และ ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ผมมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจไม่แพ้ตลาดอื่นๆ เพราะเป็นแหล่งเงินทุนที่ให้ต้นทุนทางการเงินที่ถูก สภาพคล่องในการซื้อขายถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยมีความรู้ทางการเงินเพิ่มขึ้นและหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นกว่าในอดีต นอกจากนี้ กฎระเบียบต่างๆ ของหน่วยงานกำกับดูแล ก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลักทรัพย์ที่เข้ามาจดทะเบียนนั้นมีคุณภาพมากขึ้น ผมเชื่อว่า ในระยะยาวตลาดหุ้นไทยจะยิ่งดึงดูดการลงทุนของบริษัททั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ แผนการสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของตลท. ก็น่าจะช่วยเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ดิจิทัลและสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยโดยรวมได้มากขึ้นด้วย"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ