กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
กูรูทิสโก้เผยผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 3 เดือนและ 10 ปี ตัดกัน (Yield Curve Invert) สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า แต่ยังไม่ใช่สัญญาณขายหุ้น แนะอย่าตื่นตระหนกให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรและปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562 อัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ระยะสั้นอายุ 3 เดือน และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ตัดกันอีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า Yield Curve Invert ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
"การตัดกัน (Invert) ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวสามารถพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession ได้อย่างแม่นยำ โดยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 7 ครั้งในสหรัฐฯ ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณ Invert ก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้ง และในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 2.37% ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 3 เดือน ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 2.40% สะท้อนมุมมองของตลาดทุนต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจในอนาคต" นายคมศรกล่าว
อย่างไรก็ตาม การตัดกันของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยาวในครั้งนี้ยังไม่ใช่สัญญาณเตือนว่านักลงทุนควรรีบเทขายหุ้นในช่วงนี้ เนื่องจาก ข้อมูลในอดีตชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักจะเกิดขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวตัดกันเป็นเวลา 20 เดือนโดยเฉลี่ย ดังนั้น หากนับจากวันที่ 22 มีนาคม เป็นวันแรกที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ตัดกัน เท่ากับว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ สำนัก ที่มองว่าเศรษฐกิจจะเริ่มเกิดภาวะถดถอยในช่วงดังกล่าว
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นคือ ก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยประมาณ 6-7 เดือน ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นสู่จุดสูงสุด (Peak) และหากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 ตลาดหุ้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดในช่วงปลายไตรมาส 1 ถึงต้นไตรมาส 2 ของปี 2563 ดังนั้น นักลงทุนยังมีเวลาในการปรับพอร์ตลงทุนก่อนตลาดจะกลับเข้าสู่ตลาดขาลง (Bear Market) ประมาณ 1 ปี
ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกและรีบเทขายหุ้นในช่วงนี้ โดยในระยะสั้นภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกเล็กน้อย ผลบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ประกอบกับข่าวดีจากการตกลงทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่กลับมาผ่อนคลายมากขึ้น แต่ในระยะกลางถึงระยะยาวแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรและปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและเตรียมรับมือกับการถดถอยของเศรษฐกิจครั้งถัดไป