กรุงเทพฯ--26 เม.ย.--คอนจังค์ชั่น พับลิครีเลชั่นส์
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ประจำประเทศไทย ร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี และสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี จัดสัมภาษณ์พิเศษการริเริ่มรับบริจาคซะกาตและสานต่อโครงการ "รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง ปีที่ 2" เพื่อส่งเสริมให้ชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศร่วมบริจาคซะกาตและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในเดือนรอมฎอน เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยที่ไม่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองเดือนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในประเทศของตนและกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนทั่วโลก
"ศาสนาทุกศาสนามีหลักคำสอนและเป้าหมายเดียวกันคือความเมตตาและการช่วยเพื่อนมนุษย์" อรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน กล่าว "จากโครงการรอมฎอนนี้เพื่อพี่น้องปีแรก เราได้รับการสนับสนุนจากชาวไทยมุสลิมในการช่วยผู้ลี้ภัยเป็นอย่างดี การบริจาคอย่างต่อเนื่องของทุกท่านได้ช่วยชีวิตพี่น้องชาวโรฮิงญา เพื่อซ่อมแซมที่พักในช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมา"
วิกฤติผู้ลี้ภัยโลกในขณะนี้ รวมถึงวิกฤติครั้งใหม่ เช่น สงครามในซีเรีย หรือชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยไปยังประเทศบังคลาเทศ ทำให้จำนวนผู้พลัดถิ่นมีสูงถึง 68.5 ล้านคน ส่งผลให้ในเดือนรอมฎอนนี้ มีผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากที่ต้องระลึกถึงช่วงเวลานี้นอกประเทศหลังการลี้ภัยที่ยากลำบาก
"จำนวนผู้ลี้ภัยตอนนี้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 อันเนื่องมาจากสงคราม ความขัดแย้ง และการประหัตประหาร โดยเฉพาะในประเทศที่พี่น้องชาวมุสลิมเราอยู่" อาจารย์ซากีย์ พิทักษ์คุมพล รองเลขานุการสำนักจุฬาราชมนตรี กล่าว "ซึ่งสถานการณ์โลกเป็นเรื่องที่เราหรือพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง แต่เราในฐานะพี่น้องร่วมโลกเดียวกัน เราสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้"
โครงการ "รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง" เริ่มต้นขึ้นในปี 2561 ที่ผ่านมา และได้รับความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนอย่างดียิ่งในการระดมพลังความศรัทธา และสนับสนุนการระลึกถึงความยากลำบากและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ด้อยโอกาสในช่วงเดือนรอมฎอน โครงการในปีที่ 2 จึงมีการขยายส่วนร่วมของชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ จากการร่วมบริจาคเงินในเดือนรอมฎอนเพื่อผลบุญต่อตนเอง ไปยังการบริจาคซะกาตหรือทานประจำปี ซึ่งเป็นการบัญญัติขึ้นตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก 8 ประการอีกด้วย
"รอมฎอน เป็นช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมได้ทบทวนถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้นในโลก เป็นโอกาสในการแบ่งปันให้แก่คนด้อยโอกาส ยากจน และเปราะบาง" ดร. วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ กล่าว "นอกจากนี้ การมอบซะกาตเพิ่มเติมระหว่างปี ยังทำให้จิตใจของผู้ให้สะอาดบริสุทธิ์และเป็นการช่วยเหลือพี่น้องชาวมุสลิมเพิ่มอีกด้วย ซึ่งผู้ลี้ภัยเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ 4 ใน 8 ประการของผู้มีสิทธิ์ได้รับซะกาตตรงตามที่บัญญัติใว้ในอัลกุรอ่านบทที่ 9 โองการที่ 60 ซึ่งผู้ให้ทานจะเกิดความสุขใจสูงสุด"
UNHCR ทำงานร่วมกับมูลนิธิทาบาห์ องค์กรชั้นนำทางศาสนา เพื่อให้ได้รับการรับรองระดับโลกจากนักวิชาการศาสนา (นักฟัตวา) จากประเทศอียิปต์ เยเมน โมร็อกโก มอริเตเนีย เพื่อยืนยันว่า UNHCR มีคุณสมบัติในการรับซะกาตได้
สภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี ยินดีร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของ UNHCR ในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในฐานะองค์กรภาคีเพื่อมนุษยธรรม โดย UNHCR จะนำเงินบริจาคทั้งหมดไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่เปราะบางต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่คือ เด็กกำพร้า แม่เลี้ยงเดี่ยว และหญิงหม้าย โดยเงินบริจาคในเดือนรอมฎอนจะนำไปช่วยเหลือพี่น้องผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมโรฮิงญา ซีเรีย และเยเมน และเงินบริจาคซะกาตตลอดทั้งปีจะถูกนำไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ตรงตามคุณสมบัติที่ควรได้รับซะกาตในประเทศเลบานอน จอร์แดน มอริเตเนีย อิรัก และเยเมน โดยซะกาตที่ UNHCR ได้รับทั้งหมด จะได้รับการดูแลและตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนตั้งแต่การบริจาคจนถึงการให้
ผู้มีจิตศรัทธา สามารถบริจาคได้ที่ www.unhcr.or.th