กรุงเทพฯ--3 พ.ค.--ปอร์เช่ ประเทศไทย
ปอร์เช่มุ่งหน้าเข้าสู่ความสำเร็จในกระบวนการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแนวหน้า ของโลกสามารถลดมลภาวะจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถูกปล่อยออกจากยานพาหนะที่ผลิตได้มากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ปี 2014 รวมไปถึงสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานลงได้ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้กำลังการผลิต ของโรงงาน Zuffenhausen และ Leipzig เพิ่มขึ้นมากกว่า 82 เปอร์เซ็นต์: จากจำนวน 101,449 คัน (ในปี 2014) สูงขึ้นเป็น 184,791 คัน ในปี 2018
"เราทุกคนที่ปอร์เช่ต่างตระหนักดีถึงหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ" ข้างต้น คือคำอธิบายของ Albrecht Reimold สมาชิกคณะกรรมการบริหารผู้กำกับดูแลส่วนงาน Production และ Lo-gistics ของ Porsche AG "เรามุ่งมั่นค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ทุกๆ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ได้จากบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ยิ่งใหญ่หรือจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อ ทิศทางการปฏิบัติงานโดยรวมที่เป็นแรงผลักดันให้องค์กรพัฒนาตนเองเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนยาวนาน ทีละขั้น ตอน"
อัตราผลตอบแทนที่เติบโต คือขั้นตอนแรกของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ปอร์เช่เพิ่งรายงานผลการปฏิบัติงานที่เป็นสถิติใหม่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา: เป็นอีกครั้งที่ปริมาณการส่งมอบรถยนต์ใหม่ และรายรับปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกับจำนวนของบุคลากรภายในองค์กร ผลตอบแทนจาก การขาย เพิ่มขึ้น 16.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2018 "เราไม่ได้มองผลกำไรว่าเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายในการทำงานอย่างไรก็ตามสิ่ง นี้คือความสำเร็จขั้นต้นที่บริษัทจะต้องสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นแรงผลักดันให้บริษัททำหน้าที่และรับผิดชอบในด้าน อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย" Reimold กล่าวเสริมว่า "เราจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติ งานได้ด้วยผลสัมฤทธิ์ทั้งในเชิงของ เศรษฐศาสตร์ สังคม และการรักษาสภาพแวดล้อม โดยไม่ละทิ้งสิ่งใด สิ่งหนึ่งไป"
เพื่อเป็นการยืนยันถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานที่จะต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งสามารถประเมินผล ได้ในรูปแบบใกล้เคียงกับเป้าหมายด้านเศรษฐศาสตร์ ปอร์เช่ตัดสินใจใช้ดัชนีชี้วัดที่มีชื่อว่า "Reduction in environmen-tal impact in Production" ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวบรวมตัวแปรจากหลากหลายที่มา รวมไปถึงส่วนเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง กับมลภาวะของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งยังครอบคลุมไปถึงกระบวนการบริหาร ทรัพยากรน้ำบริสุทธิ์ และการจำกัดปริมาณของสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ volatile organic compounds (VOC) ข้างต้นคือโครงการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมที่ปอร์เช่ได้จัดเตรียมไว้: เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปี 2014 พบว่าปอร์เช่สามารถลดปริมาณการใช้ตัวทำละลายลงได้กว่า 34 เปอร์เซ็นต์ในกระบวนการผลิต และลดอัตราการใช้น้ำต่อ การผลิตรถยนต์หนึ่งคันลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
ปอร์เช่กับการผลิตด้วยพลังงานที่ไม่มีวันหมด
ปัจจุบันปอร์เช่มีศักยภาพสูงในด้านการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้คิดเป็นสัดส่วนของจำนวนมลพิษที่หายไป กว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี – โดยโครงการดังกล่าวได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเพื่อให้มั่นใจ ว่าจะถูกนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในเชิงของการจัดสรรแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ หรือ TÜV-certified energy from renewable sources ตั้งแต่ปี 2017 บริษัทผู้ผลิตยนตรกรรมสปอร์ตสัญชาติเยอรมันได้ริเริ่มคิดค้นพัฒนาแหล่ง พลังงานไฟฟ้าทางเลือกใหม่ที่ผ่านการรับรองประสิทธิภาพและต้นกำเนิดจากธรรมชาติ โครงการดังกล่าวตอบรับกับ มาตรฐานสูงสุดด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศ ทุกวันนี้กระบวนการขนส่งทางรถไฟที่ปอร์เช่ใช้งานในประเทศเยอรมนี เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ปราศจากผลกระทบต่อบรรยากาศของโลก หรือ climate-neutral นอกจากนี้ปอร์เช่ยังได้พิจารณาถึง การปฏิบัติงานเพื่อลดความเสียหายต่อสภาวะแวดล้อมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า
วิสัยทัศน์เพื่อก้าวเข้าสู่ "Zero Impact Factory"
"หนทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือผลสัมฤทธิ์โดยรวมขององค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมาย" Albrecht Reimold เสริม "ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ จะถึงเวลาปรากฎตัวของ ไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบคันแรก จากปอร์เช่ซึ่งสายการผลิตของรถยนต์รุ่นนี้ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นับตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตามเป้าหมายของเรายังคงปักหลักอยู่ที่การหลีกเลี่ยงผลกระทบใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ รวมทั้งการ ตระหนักรู้เพื่อมุ่งสู่อนาคตของการเป็น Zero Impact Factory"
สายการผลิตที่ปราศจากการทำลายสิ่งแวดล้อม มีพื้นฐานที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนงานคู่ขนานกันกับการจัดหาทรัพยากร และวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ การพิจารณาผลกระทบและการป้องกันด้านสารมลพิษและบรรยากาศรวมถึงความ เสียหายที่เกิดขึ้นต่อสภาพอากาศในชุมชนเมืองที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับโรงงาน ปอร์เช่ได้ดำเนินการยื่นเอกสารใจความสำคัญ ของโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในด้านของการออกแบบทำเลที่ตั้งของสถานประกอบการต่อองค์กร German Sustain-able Building Council (DGNB): โดยปอร์เช่นับเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ได้รับรางวัลระดับ "Platinum" สำหรับการออกแบบ โรงงานที่ 4 ภายในสำนักงานใหญ่ Zuffenhausen
สายการผลิต ไทคานน์ (Taycan): ล้ำสมัยด้วยระบบดูดซับสารไนโตรเจนออกไซด์
หนึ่งในมาตรการยกระดับศักยภาพการผลิตของปอร์เช่ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นโรงงานที่ปราศจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือ "Zero Impact Factory" คือการนำเทคโนโลยี nitrogen dioxide-absorbing surface มาติดตั้งใช้งานเป็นครั้งแรก ในบริเวณส่วนหน้าของอาคารโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งได้รับการก่อสร้างขึ้นเพื่อผลิตปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) โดยเฉพาะ ส่วนประกอบของอาคารดังกล่าวสร้างขึ้นจากวัสดุอลูมิเนียมเคลือบด้วยสารไทเทเนียมไดออกไซด์ โดยสาร เคลือบข้างต้นทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสลายตัวของอนุภาคมลพิษที่มีโอกาสปนเปื้อนในแหล่งน้ำ และลดปริมาณ ของสารไนเตรตเมื่อสัมผัสกับแสงอาทิตย์ภายใต้สภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ สำหรับโครงการนำร่องนี้ ปอร์เช่ได้ดำเนินการ ทดสอบระบบขจัดของเสีย NOx-absorbing ที่เปี่ยมไปด้วยความล้ำสมัยโดยการติดตั้งลงใน พื้นที่อาคารทั้งหมดกว่า 126 ตารางเมตร การออกแบบดังกล่าวให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบที่เทียบเท่ากับ ความสามารถในการกำจัด มลพิษของต้นไม้ใหญ่ถึง 10 ต้น ภายใต้ขนาดของพื้นที่ที่ใช้ประมาณช่องจอดรถยนต์เพียง 10 คันเท่านั้น
ผลตอบแทนของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เกณฑ์ในการประเมินผลจำนวนมากถูกนำมาใช้ในการชี้วัดประสิทธิภาพการจัดหาทรัพยากร และการลดอัตราเสี่ยงด้าน สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนต่างๆ เริ่มต้นด้วยการแทนที่ระบบไฟส่องสว่างแบบเดิมเป็นเทคโนโลยี หลอดไฟ LED การควบคุมระบบหมุนเวียนอากาศเสียในส่วนงานตัวถัง การนำพลังงานความร้อนที่ถ่ายเทออกมาใช้ ประโยชน์ในส่วนงานสี ครอบคลุมไปถึงการนำนวัตกรรม electromechanical มาแทนที่ระบบไฮดรอลิกในขั้น ตอนการปฏิบัติงาน ผลการประเมินครั้งล่าสุดพบว่าสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 11,544 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในแต่ละปี เมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่ riveting ของส่วนงานประกอบตัวถัง ภายในโรงงาน Zuffenhausen
ขยายส่วนร่วมไปยังบุคลากรภายในปอร์เช่
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเพิ่มจำนวนบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในบริษัทซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของมลภาวะ จากการ คมนาคมสัญจรที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ปอร์เช่ได้จัดตั้งระบบบริหารจัดการยานพาหนะ ร่วมกับกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ระบบ "Job Ticket" หรือตั๋วโดยสารระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ด้วยการสนับสนุนของบริษัท ตามด้วย "Fine Dust Ticket" ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สตุ๊ทการ์ทสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อมีการ ประกาศเตือนระดับฝุ่นละอองในอากาศเกินมาตรฐาน หรือ fine dust alert ระบบการบริหารจัดการพื้นที่จอด ยานพาหนะแบบองค์รวม ช่วยในการค้นหาที่จอดรถได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น แอปพลิเคชัน Porsche TwoGo ride-sharing ช่วยพนักงานในการเดินทางด้วยรถคันเดียวกัน เมื่อสัญจรบนเส้นทางเดียวกัน และการเปิดตัวโครงการ "mo-bile working" ซึ่งไม่เป็นเพียงการเปิดประสบการณ์ใหม่สำหรับวิธีการทำงานของบุคลากรเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหา การจราจรแออัดใน ชั่วโมงเร่งด่วนได้อีกทางหนึ่ง
ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของปอร์เช่จากรายงานประจำปี Annual and Sustaina-bility Report 2018 ได้ที่ :https://newsroom.porsche.com/de/geschaefts-nachhaltigkeit-bericht-2018.html
เกี่ยวกับ AAS Auto Service
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่าง เป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า "AAS The Name you can Trust" ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี