กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) และอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-Term Local-Currency Issuer Default Rating) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ที่ระดับ 'BBB+' และอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ระดับ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดของ ปตท. อยู่ในส่วนสุดท้ายของรายงานนี้
การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของปตท. ที่ระดับ 'bbb+' ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย ('BBB+' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) อันดับเครดิตของปตท. จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย ในกรณีที่สถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ถูกปรับลดลง หากฟิทช์พิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. และภาครัฐฯ ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ (Government-Related Entities Rating Criteria) ของฟิทช์ ยังคงเหมือนเดิม สถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของปตท. สะท้อนถึงการเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจร รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัทฯ ยังคงเผชิญกับความท้าทายอยู่ แต่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนหนี้สิน ณ ปัจจุบันของบริษัทฯ ที่ต่ำ น่าจะช่วยรองรับการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการแก้ปัญหาเรื่องปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยไม่ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นจนกระทบอันดับเครดิต
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติน่าจะปรับตัวดีขึ้น: แผนในการเข้าซื้อกิจการธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ Murphy Oil ในประเทศมาเลเซียมูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศออกมา พร้อมกับการชนะการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณ น่าจะช่วยทำให้ธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจโดยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. สผ. ปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในช่วงห้าปีข้างหน้าน่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะลดลง ปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทฯ น่าจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยของบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตในกลุ่ม 'BBB'
นอกจากนี้ การชนะการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณยังช่วยทำให้ความเสี่ยงจากการสูญเสียการผลิตจากแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชหมดไปอีกด้วย ซึ่งในปี 2561 บริษัทมีปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบงกชคิดเป็นร้อยละ 27 ของการผลิตทั้งหมด และยังทำให้ ปตท. สผ. เพิ่มความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยอีกด้วย โดยก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากแหล่งบงกชและเอราวัณคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยทั้งหมดในปี 2561
อัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำ เพื่อรองรับการลงทุน: ฟิทช์คาดว่าสถานะทางการเงินของ ปตท. จะยังคงแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบัน ถึงแม้ฟิทช์คาดการว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากแผนการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว และแผนการลงทุนที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ ปตท. สผ. ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ของปตท. จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.3-1.5 เท่าในปี 2562-2564 จาก 0.7 เท่าในปี 2561 นอกจากนี้ ปตท.สผ. มีเงินสดจำนวนมากประมาณ 4.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งน่าจะเพียงพอสาหรับการเข้าซื้อกิจการนี้ และยังคงมีสถานะเป็น Net Cash อยู่ ปตท.สผ. มีอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่าย (Debt to EBITDA) ในระดับต่าที่ 0.6 เท่า ณ สิ้นปี 2561
การลงทุนที่สูงในระยะปานกลาง: ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนของบริษัทฯ และบริษัทย่อย น่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีกในปี 2562 จากปี 2561 ที่ใช้เงินลงทุน 1.56 แสนล้านบาท เนื่องจากการลงทุนของบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปตท. ยังมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น ธุรกิจห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Value Chain) เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และ โครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อขยายธุรกิจของบริษัทฯ โดยปตท. ได้กำหนดงบการลงทุนเบื้องต้นที่ประมาณ 1.88 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนเหล่านี้
ความเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจร: อันดับเครดิตของ ปตท. สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร และความมีเสถียรภาพจากการที่ ปตท. มีขนาดธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำที่มีขนาดใหญ่และมั่นคง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจจำหน่ายและขนส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจจำหน่ายปลีกน้ำมัน ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมี โดยธุรกิจเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซที่มีความสม่ำเสมอ: สถานะทางการเงินของ ปตท. ได้รับประโยชน์จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่มีความสม่ำเสมอ อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่มีความมั่นคง และสัญญาการจัดจำหน่ายระยะยาวซึ่งมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำจากคู่สัญญาในลักษณะ take-or-pay รวมถึงโครงสร้างราคาที่สามารถส่งผ่านต้นทุนการขายให้แก่ลูกค้าได้ อัตราการทำกำไรของธุรกิจท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติ และการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซ ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากนัก อย่างไรก็ตามกำไรจากธุรกิจโรงแยกก๊าซและการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สูงกว่า เนื่องจากการปรับราคาของต้นทุนก๊าซธรรมชาติตามสัญญาการซื้อขายระยะยาว จะช้ากว่าการปรับราคาของราคาผลิตภัณฑ์
แนวโน้มการสนับสนุนจากภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง: ฟิทช์มองว่าสัดส่วนการถือหุ้นและการควบคุมของภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับปานกลาง โดยรัฐบาลถือหุ้นโดยตรงในปตท. ร้อยละ 51 และมีส่วนในการคัดเลือกคณะกรรมการบริษัทฯ นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าการสนับสนุนจากภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง แม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการสนับสนุนทางการเงินให้กับบริษัทฯ เนื่องจากปตท. มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ฟิทช์คาดว่าภาครัฐฯ น่าจะสนับสนุนทางการเงินให้กับปตท. ในกรณีที่บริษัทมีความต้องการ เนื่องจากปตท. มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และเป็นตัวจักรสำคัญในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย
ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อสังคมและการเมืองในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้อยู่ในระดับสูง ซึ่งหากเกิดขึ้น ฟิทช์คาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อการจัดหาก๊าซธรรมชาติสำหรับใช้บริโภคภายในประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่าการผิดนัดชำระหนี้อาจจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ และองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ อื่นๆ อีกด้วย
จากปัจจัยในการพิจารณาแนวโน้มการสนับสนุนจากภาครัฐฯ ต่อปตท. ข้างต้น ฟิทช์จัดอันดับเครดิตของ ปตท. อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย ในกรณีที่สถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ที่ระดับ 'bbb+' ถูกปรับลดลง ปัจจุบัน ฟิทช์ยังไม่ได้นำปัจจัยนี้เข้าไปกำหนดอันดับเครดิตของ ปตท. เนื่องจากสถานะเครดิตโดยลำพังของ ปตท. อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของปตท. สะท้อนถึงความเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจร ฟิทช์คาดว่าสถานะทางธุรกิจของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัทฯ ที่อ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตที่ 'BBB+' จะปรับตัวดีขึ้น แต่การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรไปถึงธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำ รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มีการผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นหลักซึ่งมีความผันผวนที่น้อยกว่า เป็นปัจจัยที่ช่วยสนันสนุนอันดับเครดิตของบริษัทฯ
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงขนาดธุรกิจที่มีขนาดกลางของบริษัทฯ แม้ว่า ปตท. มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับบริษัท China National Petroleum Corporation (อันดับเครดิต A+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS, อันดับเครดิต A- แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัททั้งสองถูกจำกัดด้วยอันดับเครดิตของประเทศ ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าบริษัท OMV AG (อันดับเครดิต A- แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และบริษัท Repsol, S.A. (อันดับเครดิต BBB แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ในด้านรายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แต่บริษัทฯ มีปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับ OMV ปตท. มีอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับ OMV แต่ OMV ดำเนินธุรกิจในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และเมื่อเทียบกับ Repsol ปตท. มีอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ราคา 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2562, 62.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2563, 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2564, 57.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2565 และปีถัดๆไป
- ปริมาณการขายของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ถึง 8 ต่อปีโดยเฉลี่ย ในปี 2562-2566 (ปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2)
- EBITDA จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันลดลงในปี 2562 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2562-2563 (2561 มีการลงทุนทั้งสิน 1.56 แสนล้านบาท)
- การเข้าซื้อกิจการของ Murphy Oil ในประเทศมาเลเซีย มูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2562 แต่ไม่รวมการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการอื่นๆ
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลระยะยาวของประเทศไทยโดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. และภาครัฐฯ ยังคงเหมือนเดิม
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท. ไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความอ่อนแอของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมโดยเฉพาะสถานะปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ปัจจัยลบ
- การปรับลดอันดับเครดิตสากลของประเทศไทย
ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท. รวมไปถึง:
- การลงทุนจำนวนมากโดยใช้เงินกู้ยืม หรือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวัดจาก FFO adjusted net leverage ที่สูงกว่า 2.8 เท่า (ปี 2561 อยู่ที่ 0.7 เท่า)
- สถานะทางการเงินของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท. สผ.) ที่อ่อนแอลง ซึ่งวัดจาก FFO adjusted net leverage ที่สูงกว่า 2.5 เท่า และการที่ปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะสองถึงสามปีข้างหน้า
- การเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎระเบียบ การแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและการปรับค่าผ่านท่อก๊าซที่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อ ปตท.
สำหรับอันดับเครดิตของประเทศไทย มีปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ซึ่งได้แสดงไว้ในรายงานเครดิตลงวันที่ 7 ธันวาคม 2561 ดังนี้
ปัจจัยบวก:
- ความต่อเนื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาโดยไม่ทำให้เกิดการขาดดุล
- การบรรเทาลงของความกดดันทางการเมืองและสังคม ในระดับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายภาครัฐในการบริหารประเทศและดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ปัจจัยลบ:
- ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ในระดับที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
- การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของหนี้สินของรัฐบาล เช่น เนื่องจากฐานะทางการคลังที่แย่ลง หรือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของหนี้สาธารณะที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (contingent liabilities)
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: สภาพคล่องของ ปตท. ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดที่มีอยู่จำนวนมากถึงประมาณ 4 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 เมื่อเทียบกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 8.9 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีภาระการชำระคืนหนี้ที่บริหารจัดการได้ โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 8.4 ปี
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดของปตท. มีดังนี้
- คงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ที่ระดับ 'BBB+'; แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
- คงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-term Local-Currency Issuer Default Rating) ที่ระดับ 'BBB+'; แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
- คงอันดับเครดิตสากลระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (International Short-term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ที่ระดับ 'F2'
- คงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ระดับ 'AAA(tha)'; แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ 'F1+(tha)'
- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ระดับ 'AAA(tha)'