กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
MILL มั่นใจปี 2550 ผลประกอบการทะลุเป้า ได้ราคาเหล็กขาขึ้นช่วยหนุน ส่วนปี 2551 ยิ่งเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เหตุการเมืองเริ่มชัดเจน อุตสาหกรรมเหล็กขยายตัว แถมไลน์การผลิตใหม่จะเริ่มผลิตได้ตั้งแต่ปลาย Q1/51 พร้อมวางแผนเจาะอุตสาหกรรมยานยนต์และเฟอร์นิเจอร์เหล็กเสริมความแกร่ง คาดสิ้นปีปั๊มรายได้ขยายตัว 15-20% จากปีก่อน ส่วนแผนงานในระยะยาวเตรียมใช้จุดแข็งเป็นผู้ประกอบการที่เป็น one stop service มัดใจลูกค้า เชื่อยังเติบโตได้ดีในอนาคต
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย เหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณครบวงจร กล่าวถึงทิศทางการขยายธุรกิจในปี 2551 ว่า จะยังให้ความสำคัญกับผลักดันสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันจะเพิ่มชนิดสินค้าให้กว้างขวางและครบวงจรมากขึ้น ทั้งเหล็กเส้น และเหล็กรูปพรรณ รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ เข้าไปสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องด้วย
ซึ่งนอกจากจะทำให้ฐานลูกค้ากว้างขวางขึ้นแล้ว สินค้ากลุ่มนี้ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงจะมีผลต่อการเพิ่มกำไรสุทธิให้เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตด้วย
เขากล่าวอีกว่า เชื่อว่าในปีนี้อุตสาหกรรมเหล็ก จะเติบโตได้อย่างชัดเจนอย่างน้อย 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจน โดยเฉพาะหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศลงตัว ซึ่งจะทำให้โครงการขนาดใหญ่เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะสนับสนุนให้ความต้องการใช้สินค้าเหล็กเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณงานที่เข้าสู่ตลาด และในปีนี้แม้ว่าราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อจะขยับตัวสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจมากนัก เช่นเดียวกับต้นทุนราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะคาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในระดับสูง และไม่น่าปรับตัวเกิน 750-800 USD/ตัน และประการสำคัญราคาเหล็กที่ผันผวนน้อยลง จะทำให้บริษัทฯสามารถบริหารความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย
"เราเชื่อว่าปี 2551 จะเป็นปีที่ MILL เติบโตได้อย่างโดดเด่น เพราะนอกจากเราจะมุ่งขยายธุรกิจทั้งตัวสินค้าเดิมที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มไลน์สินค้าใหม่ให้กว้างขวางขึ้น และขยายฐานลูกค้าเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ปัจจัยการเมืองที่เริ่มจัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแล้ว เชื่อว่าน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็ก ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กให้เติบโตขึ้นด้วย ประกอบกับไลน์การผลิตใหม่ที่เราขยายการผลิตเพิ่ม จะเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน"
เขากล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2551 โตเพิ่มขึ้นกว่าอุตสาหกรรมเหล็ก โดยภาพรวม5% ที่จากปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรมเหล็ก และถือว่าเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ในปี 2550 เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่ได้รับผลดีจากราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจนคาดว่ารายได้จะเติบโตสูงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ เนื่องจากเชื่อว่าช่วงไตรมาสที่1/51 ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 28. บาท/กิโลกรัม จากความต้องการใช้เหล็กมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และจากการมุ่งขยายธุรกิจของบริษัทฯ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างโดดเด่นดังกล่าว
“อีกเป้าหมายของ MILL ในปีนี้คือมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และการให้บริการเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้มัดใจลูกค้าจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างงดงามในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากจุดแข็งที่มีโรงงานตั้งอยู่ที่ในกรุงเทพฯ ที่ทำให้ได้เปรียบเรื่องค่าขนส่ง และเด่นเรื่องการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (one stop service) เพราะมีสินค้าทั้งเหล็กเส้น และเหล็กรูปพรรณ ทำให้ผู้แทนจำหน่ายขายเหล็กได้ทั้ง 2 แบบ ทำให้ลูกค้าสะดวกในการสั่งซื้อ สามารถขนส่งได้ง่ายขึ้น”นายสิทธิชัยกล่าวในที่สุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปภาดา สุวรรณกูฎ (ตุ้ย) TEL : 02-554-9396 / 085-133-0184