กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ระบุในไตรมาส 2/62 เตรียมโอนที่ดิน Lot ใหญ่ ได้อานิสงส์จากสงครามการค้า และโครงการ EEC ที่มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง หนุนทั้งปีรายได้และส่วนแบ่งกำไรเติบโต 70% ตามแผน ด้าน GROUP CEO "จรีพร จารุกรสกุล" เผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2562 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 3,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบจากการปรับมาตรฐานทางบัญชีใหม่ของธุรกิจไฟฟ้า อยู่ที่ 3,801 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายที่ดิน และรายได้จากค่าเช่าและบริการ อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจสาธารณูปโภค ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 407 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบจากการปรับมาตรฐานทางบัญชีใหม่ของธุรกิจไฟฟ้า อยู่ที่ 433 ล้านบาท ลดลง 28% โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่ลดลง จากการปิดซ่อมบำรุงรักษาตามแผนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่ วัน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ผู้นำธุรกิจแบบครบวงจร ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/2562 มีการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้น จากกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจทั่ง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ 2. กลุ่มธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 3.กลุ่มธุรกิจบริการสาธารณูปโภคและพลังงาน และ4.กลุ่มธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม
ทั้งนี้คาดว่าจะมีการยอดการโอนที่ดินภายในไตรมาส 2/2562 จำนวนมาก ได้อานิสงส์จากปัญหาสงครามทางการค้าที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ และการส่งเสริมนโยบายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ เพราะพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group ทั้ง 9 แห่งอยู่ในเขตพื้นที่ที่ได้รับการส่งเสริมทั้งหมด
นอกจากนี้ธุรกิจบริการสาธารณูปโภคบริษัทฯ มีการพัฒนาการให้บริการต่างๆเพิ่มขึ้นทั้งในในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงโครงการ Solar Rooftop ที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการโซลาร์ที่ดำเนินการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว 12 โครงการ รวมกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 5.9 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 15 โครงการ รวม 14.3 เมกะวัตต์ ซึ่งตามแผนจะทยอยดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2562 จำนวน 20 เมกะวัตต์ และภายในเดือนพฤษภาคมเตรียมเปิด COD ในโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 ซึงจะส่งผลให้การเติบโตของ รายได้และส่วนแบ่งกำไรเติบโต 70% ตามแผนที่ได้ตั้งเป้าในแต่ละกลุ่มธุรกิจดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งเตรียมขยายเพิ่มอีก 250,000 ตารางเมตรครอบคลุมการบริหารจัดการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป รวมทั้งสิ้น 2,500,000 ตารางเมตร และขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT อีก 5,750 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการร่วมมือกับกลุ่มบริษัท และผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าจากนโยบายของภาครัฐ ทั้งการให้บริการธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ การบินและอากาศยาน ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มยิ่งขึ้น
2. กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยในปี 2562 ตั้งเป้ายอดขายที่ดิน จำนวน 1,600 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 1,400 ไร่ และ 200 ไร่ ที่ประเทศเวียดนาม โดยปัจจุบันดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปมีนิคมอุตสาหกรรมรวม 11 แห่ง โดยเป็นนิคมฯที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จำนวน 9 แห่ง
3.กลุ่มธุรกิจบริการสาธารณูปโภคและพลังงาน ตั้งเป้าการผลิต และจำหน่ายน้ำที่ 120 ล้านลบ.ม. เล็งผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการถือหุ้น 570 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงเชิงพาณิชย์ และพลังงานทดแทน พร้อมเสริมโซลูชั่นระบบน้ำและพลังงานใหม่ๆ แก่ลูกค้า
4.กลุ่มธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม เร่งปรับโฉมทุกนิคมอุตสาหกรรมในเครือให้เป็นดิจิทัล เต็มรูปแบบ ในปี 2562 โดยเตรียมเปิดให้บริการไฟเบอร์ออพติก (FTTx) ใน 10 นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงวดไตรมาส 1/2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 3,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่หากพิจารณารายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบจากการปรับมาตรฐานทางบัญชี TFRS 15 ใหม่ของธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งผลกระทบจากการปรับมาตรฐานบัญชีดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชี ไม่กระทบต่อแกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะอยู่ที่ 3,801 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากรายได้รอการตัดบัญชี ซึ่งเป็นผลจากการขายทรัพย์สินให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ บิสซิเนส คอมเพล็กซ์ (WHABT) ในปี 2558 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายที่ดิน และรายได้จากค่าเช่าและบริการ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากสงครามการค้าโลกและการสนับสนุนของภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ผลักดันต่อภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทฯ มีรายได้ในธุรกิจสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายและให้บริการน้ำตามความต้องการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามจำนวนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทยอยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 1 ปี 2562 นี้ บริษัทฯ มีการเปิด COD ของโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมคือ โรงไฟฟ้า กัลฟ์ เอ็นแอลแอล 2 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ในขณะที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/2562 เท่ากับ 407 ล้านบาท ลดลง 48% โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบจากการปรับมาตรฐานทางบัญชี เท่ากับ 433 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 28% โดยมีปัจจัยสำคัญจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจไฟฟ้า จากการปิดซ่อมบำรุงรักษาตามแผนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่ วัน จำนวน 39 วัน