กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--ศุภาลัย
บมจ.ศุภาลัย แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 / 2562 เติบโตดีเยี่ยม สร้างกำไรสุทธิ 1,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% และกวาดรายได้รวม 6,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เตรียมลุยเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดฯใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 ทั้งโครงการในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองภูมิภาค พิชิตเป้าหมายที่วางไว้
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในรอบไตรมาส 1 ของปี 2562 เมื่อเทียบกับปี 2561 บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในด้านตัวเลขของกำไรสุทธิ และรายได้รวม โดยมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% อีกทั้งรายได้รวม จำนวน 6,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% ซึ่งรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมและแนวราบโครงการต่างๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยจากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2562 ทำให้ลูกค้าบางส่วนตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1 นี้ โดยสัดส่วนรายได้ทั้งหมดนี้มาจากโครงการแนวราบ 55% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 45%
สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 4% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 32% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.50% ต่อปี ณ 31 มี.ค. 2562 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 41,905 ล้านบาท ณ 31 มี.ค. 2562 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2562 จำนวน 12,012 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 29,893 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต
ในช่วงไตรมาส 1 ผ่านมา บริษัทฯ มีการเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท แบ่งเป็นการเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 3 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ โดยมีผลงานด้านยอดขาย 6,280 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 2 บริษัทฯ มีแผนงานเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง จำนวน 7 โครงการ มูลค่ากว่า 18,400 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ จำนวน 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม จำนวน 1 โครงการ ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองภูมิภาค เพื่อผลักดันยอดขายสู่ 35,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนงานโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ จำนวน 4 โครงการ ภายในปีนี้ เพื่อสร้างรายได้รวมให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาทอีกด้วย