กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--ปอร์เช่ ประเทศไทย
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ปอร์เช่ได้เผยโฉมรถยนต์เพื่อรองรับตลาดกลุ่มใหม่ นั่นคือ พานาเมร่า (Panamera) บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชั้นนำจากประเทศเยอรมนี นำเสนอยานยนต์แกรน ทัวริสโม่สายพันธุ์แรกเมื่อเดือนเมษายน 2009 นี่คือยานพาหนะสุดหรูที่ไม่มีคู่แข่งรายใดเทียบเคียงได้ ยนตรกรรมที่ผสมผสานระหว่างสมรรถนะชั้นเลิศที่ผู้ขับขี่สามารถ สัมผัสได้จากรถสปอร์ต หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความหรูหราและเปี่ยมด้วยอรรถประโยชน์ของรถยนต์ซาลูน ในช่วงแรก ปอร์เช่วางแผน กำลังการผลิตไว้เพียง 20,000 คันต่อปี หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายส่งผลให้ พานาเมร่า (Panamera) มียอดส่งมอบที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 235,000 คัน
"ในฐานะของยานยนต์ที่เป็นผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและถ่ายทอดความเหนือชั้นต่อไปยังปอร์เช่รุ่นอื่นๆ แสดงให้ เห็นถึงบทบาทที่สำคัญยิ่งของพานาเมร่า (Panamera) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประวัติศาสตร์ของแบรนด์ตลอดช่วงระยะ เวลา 10 ปีที่ผ่านมา" ข้างต้นคือความเห็นของ Michael Steiner อดีตรองประธานกรรมการส่วนงานการผลิต ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการบริหารส่วนงานวิจัยและพัฒนา "จากความหลากหลายของขุมพลังขับ เคลื่อนไฮบริดสมรรถนะสูง ถือได้ว่านี่คือการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าของปอร์เช่อย่างแท้จริง" ปัจจุบันนี้ เจเนอเรชันที่ 2 ของสปอร์ตซาลูนจากปอร์เช่ ได้รับการผลิตขึ้นในโรงงาน Leipzig พร้อมตอบสนอง ทางเลือกที่ด้วยตัวถัง 3 สไตล์ โดยมี Thomas Friemuth รับหน้าที่เป็นรองประธานกรรมการส่วนงานการผลิตตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2018 เป็นต้นมา
รถต้นแบบ 4 ที่นั่งคันแรก พัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของปอร์เช่ 356 (Porsche 356)
ประวัติความเป็นมาของรถสปอร์ต 4 ที่นั่งจากปอร์เช่ ย้อนกลับไปในภูมิหลังของบริษัทเป็นระยะ เวลายาวนานกว่า 70 ปี วิศวกรของปอร์เช่ได้เคยนำเสนอแนวคิดดังกล่าวในช่วงยุค 1950 โดยพวกเขาทำการพัฒนา รถยนต์ 4 ที่นั่งอันแสนสะดวก สบาย ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปอร์เช่ 356 (Porsche 356) นั่นคือรถยนต์ที่มีชื่อว่า Type 530 ซึ่งได้รับการขยาย ความยาวฐานล้อ เพิ่มขนาดของประตู รวมทั้งยกระดับความสูงของหลังคาห้องโดยสารตอนหลัง ก่อให้เกิดวิวัฒนาการ อื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมาย อาทิ รถต้นแบบ 4 ประตูอันมีพื้นฐานมาจากปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ต่อมาในช่วงยุค 1980 ปอร์เช่ 928 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และ Ferry Porsche ได้เลือกใช้รถยนต์รุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถส่วนตัวของเขา ในปี 1988 ความพยายามครั้ง ใหม่ของปอร์เช่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วย Type 989 รถสปอร์ต 4 ประตูคูเป้ที่มาพร้อมพื้นที่ตอนหลัง สำหรับผู้โดยสาร 2 ที่นั่งอย่างเต็มรูปแบบ ประจำการด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ V8 ติดตั้งใต้ฝากระโปรงหน้า ทั้งนี้งานออกแบบของรุ่น 989 ได้รับการถ่ายทอดมาถึงปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ในรุ่นรหัสตัวถัง 993 ที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับรถต้นแบบคันอื่นก่อนหน้า ปอร์เช่ 989 (Porsche 989) ยังคงเป็นได้แค่เพียงรถยนต์ต้นแบบ ด้วยสาเหตุด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาต่อยอดรถยนต์รุ่นดังกล่าวจึงถูกยุติลงในช่วงต้นปี 1992
Mirage, Meteor และ Phantom: เปิดไฟเขียวอนุมัติการผลิต พานาเมร่า (Panamera)
เริ่มต้นยุคมิลเลเนี่ยม ปอร์เช่ศึกษาทิศทางของตลาดรถยนต์และวิเคราะห์คู่แข่งอย่างจริงจัง ผลคือการตัดสินใจพัฒนา รถสปอร์ต 4 ประตูซาลูนทรง hatchback อีกครั้ง ก้าวย่างของการเจาะเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับหรูไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เกินกว่าจะเพิกเฉยอีกต่อไป ดังนั้นแล้ว Wendelin Wiedeking ประธานกรรมการบริหารในขณะนั้น จึงวางกลยุทธ์ การพัฒนาเอาไว้โดยมุ่งเน้นที่ความโดดเด่นด้านสมรรถนะการขับขี่ชั้นเลิศ พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่ตอบโจทย์การใช้งาน และเอกลักษณ์งานออกแบบอันเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของปอร์เช่ Michael Mauer รองประธานผู้ดูแลส่วนงาน Style Porsche กล่าวเสริมไว้ว่า: "เราต้องการสร้างสรรค์รถสปอร์ต 4 ประตูที่มีแนวหลังคาสุดโฉบเฉี่ยว และมีประตูบานท้าย ขนาดใหญ่สไตล์รถ hatchback" ในระหว่างขั้นตอนการออกแบบ คำจำกัดความแนวคิด 3 รูปแบบได้ถูกนำมาคัดเลือก เพื่อใช้เป็นแนวทางหลักในการปฎิบัติงาน ประกอบด้วยคำว่า "Mi-rage" "Meteor" และ "Phantom" เพื่อให้ รถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นจริงนั้น ถือกำเนิดด้วยความลงตัวแต่ยังรักษาไว้ซึ่งความกร้าวแกร่งและดุดัน ในท้ายที่สุดข้อดีของ แนวคิดทั้ง 3 ประการได้ถูกนำมาใช้อย่างสมบูรณ์แบบ ตามมาด้วยการขนานนามใหม่ที่ได้รับเลือกเป็นชื่อรุ่น: พานาเมร่า (Panamera) โดยมีแรงบันดาลใจจากการแข่งขันระยะยาวสุดหฤโหด ซึ่งจัดขึ้นในประเทศเม็กซิโก "Carrera
Panamericana"
การเปิดตัวสุดอลังการกลางเมืองเซี่ยงไฮ้
พานาเมร่า (Panamera) ได้รับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนทั่วโลก เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2009 ด้วยวิธีการที่สร้างความอัศจรรย์ใจได้อย่างเหลือเชื่อ โดยปอร์เช่เชิญสื่อมวลชนสายรถยนต์จากทั่วทุกมุมโลกมาร่วม เป็นสักขีพยานในงาน press conference ซึ่งจัดขึ้นบนชั้นที่ 94 ของตึกระฟ้า World Financial Center กลางเมืองเซี่ยงไฮ้ พานาเมร่า (Panamera) ถูกส่งไปยังสถานที่จัดงานด้วยลิฟท์ภายในอาคาร ที่ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะเพื่อขนส่ง เจ้าหน้าที่ กว่า 60 ชีวิตต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง และสามารถเดินทางได้ด้วยความสูงถึง 400 เมตร ภายในระยะเวลาเพียง หนึ่งนาทีเท่านั้น
ปอร์เช่ พานาเมร่า (Porsche Panamera) คันแรก หรือที่รู้จักด้วยรหัสเรียกขานภายในองค์กรว่า G1 ได้รับการพัฒนาให้ เหนือล้ำกว่าคู่แข่ง โดยมีแนวคิดหลักที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตและความสะดวกสบาย เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีเหนือชั้น นับเป็นครั้งแรกสำหรับการติดตั้งระบบ start-stop ในรถยนต์ระดับหรู จากสายการผลิตปกติ นอกจากนี้ ในรุ่นเรือธง พานาเมร่า เทอร์โบ (Porsche Turbo) ยังได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่างแบบถุงลม หรือ air suspension ซึ่งสามารถปรับระดับปริมาตรอากาศภายในได้ตามความต้องการเป็นครั้งแรกของโลก เช่นเดียวกับสปอยเลอร์หลังที่ สามารถปรับระดับได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยนตรกรรมแกรน ทัวริสโม่ (Grand Turismo) สุดหรูจากปอร์เช่ยังเป็นผู้กำหนด บรรทัดฐานใหม่ให้แก่รถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา ด้วยหน้าจอแสดงผลรูปแบบใหม่และแนวคิดในการควบคุม ฟังก์ชันการทำงานผ่านหน้าจอ
ปอร์เช่ พานาเมร่า (Porsche Panamera) รองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้งานด้วยระดับของขุมพลัง เครื่องยนต์ที่มีให้เลือกมากมาย ครอบคลุมสมรรถนะตั้งแต่ระดับเริ่มต้น 250 แรงม้า ถึงสูงสุดที่ 550 แรงม้า ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล และระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด ผสานระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ 2 ล้อหลังและ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ในช่วงแรกของการเปิดตัว เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ V6 และ V8 ไร้ระบบอัดอากาศ โดยสามารถเลือก ใช้ระบบส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือตามความนิยมของลูกค้าส่วนใหญ่ที่เลือกใช้เกียร์ อัตโนมัติอัจฉริยะ คลัทช์คู่ 7 จังหวะ Porsche dual clutch transmission PDK สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล และระบบขับเคลื่อนไฮบริด ที่ตามมาภายหลัง ได้รับการติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วยรุ่นเอ็กเซ็คคูทีฟ (Executive) ซึ่งเป็นรุ่นที่มีฐานล้อยาวพิเศษ สำหรับกลุ่มลูกค้าในประเทศจีน พร้อมกับการปรับโฉมในปี 2013 เครื่องยนต์ได้รับการเพิ่มพลังสูงสุดเป็น 570 แรงม้า ในขณะนั้น พานาเมร่า (Panamera) ได้กลายเป็นรถยนต์รุ่นหนึ่ง ของปอร์เช่ที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ รถสปอร์ตแกรน ทัวริสโม่ (Gran Tur-ismo) คันนี้ทำหน้าที่เจาะตลาดกลุ่มใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีบทบาทในการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งในแง่ของ อัตราการเติบโตของปอร์เช่ในตลาดประเทศจีน จนกระทั่งสามารถลงหลักปักฐานบนแผ่นดินมังกรได้อย่างยั่งยืน
รุ่นใหม่ล่าสุด: เจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวในปี 2016
กระบวนการพัฒนาปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) เจเนอเรชันที่ 2 (G2) เกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ยิ่งขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ของยนตรกรรมสปอร์ตซาลูนแกรนทัวริ่งจากรุ่นปกติและรุ่นฐานล้อ ยาว คือสไตล์ตัวถังที่ 3 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่บนพื้นฐานเดียวกัน: พานาเมร่า สปอร์ต ทัวริสโม (Sport Turismo) เปิดตัวในปี 2017 ด้วยงานออกแบบภายนอกที่เฉียบคม และแนวคิดในการออกแบบตัวถังที่เน้นรองรับความอเนกประสงค์ บนรถยนต์ระดับหรู ทิศทางการพัฒนาด้วย "Concept Sport Turismo" ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกในงานแสดง มหกรรมยานยนต์ Paris Motor Show เมื่อปี 2012 และได้รับการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอีกมากมายหลังจากนั้น เพื่อให้ปอร์เช่ พานาเมร่า (Porsche Panamera) เจเนอเรชั่นที่ 2 ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำเมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ทันทีที่เปิดตัวครั้งแรกของโลกในวันที่ 28 มิถุนายน 2016
พานาเมร่า (Panamera) G2 มีภาพลักษณ์ที่สปอร์ตและงามสง่ายิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ใช้งานเปี่ยมอรรถประโยชน์ เช่นเดิม: แนวหลังคาที่ทิ้งตัวลงในแนวดิ่งอย่างชัดเจน ตัวถังด้านหลังที่ถูกปรับให้โค้งมนกลมกลืนพร้อม แผงไฟท้ายคาดยาวตลอด บ่งบอกเอกลักษณ์ของยนตiกรรมปอร์เช่ยุคใหม่ ภายใต้รูปทรงอันกร้าวแกร่งได้ถูกบรรจุ นวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์ ล้ำสมัยเอาไว้เต็มพิกัด แน่นอนว่ารวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่ล่าสุด อาทิ หน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง พร้อมฟังก์ชันควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในตัวรถด้วยระบบสัมผัส ระบบช่วงล่างถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ three-chamber air suspension ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง rear-axle steering และระบบควบคุมเสถียรภาพ การทรงตัวด้วยอิเล็กทรอนิกส์ PDCC Sport electromechanical roll stabilisation ยิ่งไปกว่านั้น พานาเมร่า (Panamera) ยังถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติด้านสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็น บนเส้นทางสาธารณะ หรือแม้แต่ในสนามแข่ง ความเร็วสูง ด้วยประสิทธิภาพอันน่าตกตะลึงจากการวิ่งทำเวลา ต่อรอบสนาม Nuerburgring-Nordschleife ภายใน 7:38 นาที ภายใต้การบังคับควบคุมโดยนักขับทีมโรงงานปอร์เช่ Lars Kern ด้วยรถ พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo) รุ่นมาตรฐานไร้การปรับแต่งใดๆ ขุมพลังเครื่องยนต์ในรุ่นล่าสุด ได้รับการพัฒนาให้รองรับการใช้งานได้ เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมกับพละกำลังที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน: เครื่องยนต์บล๊อกใหม่ ถูกนำมาเสริมทัพอย่างลงตัว ถ่ายทอดกำลังอย่างต่อเนื่องสมบูรณ์ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 จังหวะ PDK ตอบสนองต่อความต้องการใน ทุกระดับความแรง เริ่มต้นตั้งแต่ 330 แรงม้า จนกระทั่งรุ่นสูงสุดปลั๊ก-อิน ไฮบริดพกพาพลังมหาศาลติดตัวมาถึง 680 แรงม้า
ขุมพลังไฮบริดพร้อม boost strategy ที่ให้สมรรถนะเทียบเคียงซูเปอร์คาร์
ปอร์เช่กำหนดบรรทัดฐานและเป้าหมายหลักในการพัฒนายานพาหนะพลังงานไฟฟ้าโดยอาศัยพานาเมร่า (Panamera) เป็นจุดเริ่มต้นในปี 2011 ด้วยการติดตั้งระบบ full hybrid แบบคู่ขนาน เป็นครั้งแรกของโลกในรถยนต์ซาลูนระดับหรู พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) คือหนึ่งในรถยนต์ที่ให้ความประหยัดเชื้อเพลิงดีเยี่ยมที่สุดของปอร์เช่ แม้ว่าจะมีพละกำลังสูงสุดถึง 380 แรงม้าก็ตาม หลังจากนั้นสองปี พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) จึงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะสปอร์ตซีดานขุมพลัง plug-in hybrid คันแรกของโลก ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 416 แรงม้า พร้อมพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสูงสุดถึง 36 กิโลเมตรสำหรับเจเนอเรชันล่าสุด ของพานาเมร่า (Panamera) ปอร์เช่ได้บรรจุแหล่งกำเนิดพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสมรรถนะสูงหลากหลายระดับความแรง เอาไว้อย่างครบถ้วนในทุกรุ่น: ระบบ boost strategy ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากยนตรกรรมซูเปอร์สปอต์ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) เสริมประสิทธิภาพการทำงานให้รถแกรนทัวริ่งสามารถกระทบไหล่กับสปอร์ตพันธุ์แท้ได้อย่างลงตัว แต่ยังคงมีสิ่งที่เหนือกว่านั่นคืออัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประหยัดอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 462 แรงม้าใน พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) และ รุ่นเรือธง พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ที่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า
"ด้วยศักยภาพอันล้ำเลิศของพานาเมร่า (Panamera) G2 ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะสามารถยกเอาสมรรถนะสุดยอดเยี่ยม ของระบบขับเคลื่อนไฮบริด จาก 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) มาบรรจุลงในรถยนต์หรูได้อย่างเหมาะสมลงตัว" ข้างต้นคือคำกล่าวของ Gernot Doellner รองประธานกรรมการส่วนงานสายการผลิต ผู้รับหน้าที่ดูแลการผลิต พานาเมร่า (Panamera) ตั้งแต่ปี 2011 จนถึง 2018 ปัจจุบันรับผิดชอบส่วนงาน product concept development ให้แก่ปอร์เช่ กลยุทธ์การทำงานดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์ด้วยเสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้า: ในปี 2018 ที่ผ่านมา กว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของปอร์เช่ พานาเมร่า (Porsche Panamera) ที่ถูกส่งมอบถึงมือผู้หลงใหลความแรงในทวีปยุโรป ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นที่ได้รับการติดตั้ง ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด ทั้งสิ้น
พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo):
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 9.6 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 10.4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 238 กรัมต่อกิโลเมตร
พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid):
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 37-38 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 2.7-2.6 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร; อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 16.1 – 16.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 62-60 กรัมต่อกิโลเมตร
พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid):
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 30 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 3.3 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร; อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 16.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 74 กรัมต่อกิโลเมตร
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยนและอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการตรวจสอบ ตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับวิธีการ Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ล่าสุด สำหรับค่าการตรวจวัดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามมาตรฐาน NEDC ที่ระบุในบทความนี้ ใช้อ้างอิงได้เฉพาะสภาพการทดสอบในช่วงเวลาเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับค่า การตรวจวัดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยของ NEDC ที่ได้จากวิธีการอื่นใดก่อนหน้าการทดสอบนี้
Porsche PR Thailand
Public Relations and Media
Pawarapa Dupassakoon (Palm)
Phone: +662 522 6655 ext. 448
E-mail: porschepr@porsche.co.th
เกี่ยวกับ AAS Auto Service
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่าง เป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า "AAS The Name you can Trust" ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี