กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--กรมบัญชีกลาง
กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องส่งทีมเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง สำนักงานคลังเขต 1 - 9 และสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัด ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์และรับสมัครร้านค้าใช้งาน Application ถุงเงิน รับชำระค่าสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในการซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น
และเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าขนาดเล็กจากการขายสินค้าให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการวางเครื่อง EDC ให้แก่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแล้ว เพื่อรับชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนกว่า 34,200 ร้านค้า และต่อมาได้ขยายให้ร้านธงฟ้าประชารัฐที่จะเข้าร่วมในการรับชำระเงินค่าสินค้า ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ Mobile Application ถุงเงิน (กรกฎาคม 2561 – พฤษภาคม 2562) มีร้านค้าสมัคร เข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวนกว่า 23,900 ร้านค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เร่งดำเนินการรับสมัครร้านค้าเข้าร่วมโครงการให้ได้ 100,000 ร้านค้า ให้มีความหลากหลาย และครอบคลุมร้านค้าประเภทต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาค รองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14.6 ล้านราย ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีช่องทางการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น เช่น ร้านขายอาหารสด ร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านขายผักและผลไม้ ร้านขายของชำ ร้านขายชุดนักเรียน และร้านขายอุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าดังกล่าวจากการขายสินค้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยส่งทีมเจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง คลังเขต 9 เขต และสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมมือกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ บมจ. ธนาคารกรุงไทย บมจ. ทีโอที และกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนและอำนวยความสะดวกในการสมัครให้กับร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ ในพื้นที่ตลาด
และชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ร้านค้าที่สนใจสมัครใช้งานแอพฯ ถุงเงิน สามารถสมัครกับทีมงานที่ลงพื้นที่ไปรับสมัครที่ตลาดต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร หลักฐานที่เจ้าของร้านต้องเตรียมได้แก่ บัตรประชาชนตัวจริง บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ จากนั้นกรอกแบบฟอร์มการสมัคร และลงชื่อ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและนำข้อมูลบันทึกเข้าระบบเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าก็สามารถโหลดแอพฯ ถุงเงินได้ และใช้รับชำระเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทันที โดยเจ้าหน้าที่จะติดแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า "ตลาดนี้พร้อมรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" และติดแผ่นป้ายที่หน้าร้านค้าว่า "ร้านนี้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" โดยขณะนี้ในส่วนภูมิภาคมีจำนวนตลาดที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มากกว่า 600 ตลาด และในกรุงเทพมหานคร ขณะนี้มีจำนวน 18 ตลาดแล้ว ได้แก่ ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน ตลาดเวิลด์มาร์เก็ต เขตทวีวัฒนา ตลาดทุ่งครุพลาซ่า ตลาดยิ่งรวย เขตทุ่งครุ ตลาดศูนย์การค้าหนองแขม ตลาดเพชรเกษม 79 เขตหนองแขม ตลาด ทบ. เขตพญาไท ตลาดแสงจันทร์ ตลาดคุณหญิงบุญมี เขตสาธร ตลาดห้วยขวาง ตลาดศรีเสนา เขตจตุจักร ตลาดเกรียงไกร เขตลาดกระบัง ตลาดอ่อนนุช ตลาดรุ่งอรุณ ตลาดแสงทิพย์ ตลาดเสนีย์ เขตภาษีเจริญ ตลาดเคหะทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และตลาดพิบูลย์วิทย์ เขตบางขุนเทียน ซึ่งทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ สามารถจับจ่ายซื้อของกินของใช้ได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนำบัตรสวัสดิการฯ ไปซื้อสินค้าได้ที่ตลาดที่รับบัตรสวัสดิการฯ และเลือกซื้อสินค้าได้จากร้านค้าที่ติดป้าย "ร้านนี้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินให้หมดภายในครั้งเดียว สามารถกระจายการใช้จ่ายได้ภายใน 1 เดือน ตามวงเงินที่ได้รับ (200/300 บาท/คน/เดือน ในเดือน พ.ค. - มิ.ย. 2562 ได้รับ 500 บาท/คน/เดือน) นอกจากนี้ ยังสามารถชำระเงินได้จากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-Money ได้อีกด้วย โดยวงเงินในกระเป๋า e-Money เมื่อใช้ไม่หมดสามารถสะสมไว้ใช้จ่ายในภายหลังได้
ทั้งนี้ ร้านค้าทั่วไปในตลาดและชุมชนที่สนใจ สามารถสมัครใช้งานแอพฯ ถุงเงิน กับทีมงานที่ลงพื้นที่
รับสมัคร ซึ่งจะทำให้ร้านค้ามีกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาทอนเงินหรือแลกเหรียญ โดยร้านค้า
จะได้รับเงินแน่นอนในวันทำการถัดไป นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบรายงานการขาย สรุปยอดขายประจำวัน รวมถึงประวัติยอดขายแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนได้อีกด้วย สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดสามารถตรวจสอบรายชื่อตลาดที่พร้อมรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้จากเพจเฟสบุ๊คชื่อ กรมบัญชีกลาง ,ประเทศไทย The Comptroller General's Department.