กรุงเทพฯ--29 พ.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
22 แบงก์ไทยและต่างประเทศ ร่วมสร้างโครงข่ายหนังสือค้ำประกันแบบอิเล็กทรอนิกส์ 100% โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ผ่านบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด โดยการสนับสนุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่ธนาคารไทยและธนาคารต่างประเทศ 22 แห่ง ร่วมใช้บล็อกเชนบนระบบเดียวกัน ตั้งเป้าธุรกิจไทยเปลี่ยนมาใช้บริการหนังสือค้ำประกันบนบล็อกเชน 50% ภายใน 3 ปี ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ ใช้งานได้กับทุกธนาคารที่เข้าร่วม หวังยกระดับการแข่งขันทางธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ
ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือภายใต้ Thailand Blockchain Community Initiative มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการศึกษาเทคโนโลยี Blockchain และนำมาพัฒนาเป็นบริการที่จับต้องได้จริงในภาคการเงินและภาคธุรกิจ ซึ่งเริ่มต้นจากธนาคารพาณิชย์ 14 ราย ร่วมกับรัฐวิสาหกิจ และธุรกิจขนาดใหญ่ในปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมเพิ่มเติมเป็น 22 ราย และมีการจัดตั้งบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะเป็นผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนเป็นบริการแรก นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือ และขยายชุมชน Blockchain ของไทยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง สามารถรองรับบริการที่หลากหลายในอนาคต และช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน (shared infrastructure) และเทคโนโลยี Blockchain ร่วมกัน ซึ่งจะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ไม่เฉพาะต่อภาคการเงินของไทย แต่จะมีประโยชน์โดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและการให้บริการของภาครัฐด้วย ซึ่งหวังว่าบีซีไอจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขยายความร่วมมือด้าน Blockchain ในวงกว้างมากขึ้นต่อไป ทั้งในแง่บริการที่หลากหลายและครอบคลุมกลุ่มผู้เกี่ยวข้องที่มากขึ้น
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานกรรมการ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีบล็อกเชนได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและมีการนำมาใช้กว้างขวางมากขึ้น ในขณะที่ในประเทศไทยก็เริ่มใช้บล็อกเชนในทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย สามารถลดการจัดการเอกสารที่เป็นกระดาษได้มาก และเพื่อยกระดับความร่วมมือ Thailand Blockchain Community Initiative อย่างเป็นรูปธรรม จึงร่วมกันจัดตั้ง บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัดขึ้น ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับประเทศของสถาบันการเงินและองค์กรต่าง ๆ ในการศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และสร้างบริการที่ทันสมัยภายใต้การกำกับดูแลที่ดี ด้วยการเชื่อมต่อทุกธนาคารที่เข้าร่วมด้วยแพลทฟอร์มเดียวกัน เพื่อพัฒนาและต่อยอดระบบให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและผลักดันเทคโนโลยีให้เข้าถึงทุกกลุ่มธุรกิจ เสริมประสิทธิภาพ ช่วยยกระดับการแข่งขันให้กับธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นบริการแรกของบริษัท ที่มุ่งหวังให้ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่สามารถเข้าถึง ใช้งานได้จริง ด้วยต้นทุนที่รับได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเอกสารและการดูแลข้อมูล ตลอดจนลดขั้นตอนในการทำงาน ภายใต้ความปลอดภัยระดับโลก โดยเป็นการรับรองหนังสือค้ำประกัน ผ่านระบบ Cloud Technology ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งช่วยให้การใช้งานคล่องตัว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกัน รองรับการทำธุรกรรม และสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ ทำให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันสามารถวางหนังสือค้ำประกันได้เร็วขึ้น ผู้รับวางหนังสือค้ำประกันสามารถตรวจสอบเอกสารได้อย่างรวดเร็วบนระบบอิเล็กทรอนิกส์100%
บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนนี้จะเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายนนี้ ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของ ธปท. และสามารถรองรับองค์กรที่เป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันเพิ่มได้ในไตรมาส 3 และในอนาคตจะมีการพัฒนาบริการอื่น ๆ บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเพิ่มขึ้นด้วย โดยตั้งเป้าเพิ่มการใช้งานหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนเป็น 50% ของหนังสือค้ำประกันทั้งประเทศ ภายใน 3 ปี จากมูลค่าหนังสือค้ำประกันผ่านระบบสถาบันการเงินไทยทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 1.35 ล้านล้านบาท จำนวนมากกว่า 500,000 ฉบับต่อปี
ข้อมูลบริษัท
บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งจากเงินลงทุนเริ่มต้นของ 6 ธนาคารพาณิชย์ไทย คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิขย์ ซึ่งจะร่วมใช้งานระบบพร้อมกับอีก 16 ธนาคารที่เข้าร่วมในปัจจุบัน ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารทิสโก้ ธนาคารธนชาต ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารมิซูโฮ ธนาคารยูโอบี ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารออมสิน ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น พร้อมทั้งกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ร่วมใช้งาน9 ราย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) บมจ. ไทยออยล์ บมจ. ปตท. เอสซีจี บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล บจก. จีซี มาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่นส์ และ บมจ. ไออาร์พีซี โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ให้คำปรึกษาในการจัดตั้งบริษัท รวมถึงด้านกฎหมาย 6 บริษัท ได้แก่ บจก. เอคเซนเชอร์ โซลูชั่นส์ บจก. เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ บจก. ศูนย์ประมวลผล บจก. ไอบีเอ็ม ประเทศไทย บจก. ทีบีเอ็น ซอฟต์แวร์ และบจก. กสิกร บิซิเนส - เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)