กรุงเทพฯ--5 ก.พ.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
บิ๊ก บมจ.ชูไก แก้มปริ เปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพียง 3 วัน ยอดจองล้น ผู้บริหารพร้อมที่ปรึกษาทางการเงินประสานเสียงนักลงทุนตอบรับดี เหตุพื้นฐานแกร่ง ผลประกอบการขยายตัวต่อเนื่องทุกปี การกำหนดราคาขายไอพีโอ ที่หุ้นละ 2.80 บ. มีส่วนลดให้กับนักลงทุน ประการสำคัญทุนจดทะเบียนสูงถึง 450 ลบ. เป็นอันดับหนึ่งใน เอ็ม เอ ไอ หนุนมาร์เก็ตแคปใหญ่ติด TOP 10 ทันที เชื่อเป็นอีกปัจจัยที่ตอกย้ำความมั่นใจให้นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
นายธงไชย แพรรังสี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน)(CRANE) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ราคาเสนอขายที่ 2.80 บาท/หุ้น ระหว่างวันที่ 1 และ 4-5 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่าหุ้นของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม มีความสนใจจองซื้อสูงกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรอย่างชัดเจน โดยคาดว่าเป็นผลมาจากนักลงทุนมีความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แข็งแกร่งและโดดเด่น โดยเฉพาะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)จะลดลงต่ำกว่า 1 เท่าหลังไอพีโอ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.19 เท่า
ขณะเดียวกันผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของความต้องการใช้เครื่องจักรประเภท รถเครนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการได้รับงานโครงการขนาดใหญ่ และประการสำคัญหลังการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดย บมจ.ชูไก มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วที่ 450 ลบ. จะเป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งจะหนุนให้มาร์เก็ตแคปสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วย
"เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของ บมจ.ชูไก ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งมีความแข็งแกร่งและโดดเด่นแล้ว การที่บริษัทมีทุนจดทะเบียนที่สูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ mai จะเป็นฐานสนับสนุนให้มาร์เก็ตแคปของบริษัทฯมีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 10 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย ขณะเดียวกันผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจ ควบคู่กับการได้รับงานโครงการขนาดใหญ่ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหันมาจองซื้อหุ้นของบริษัทฯอย่างล้นหลาม แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาสภาพการซื้อขายของตลาดหุ้นค่อนข้างจะผันผวน ก็ตาม" นายธงไชยกล่าว
นายวรชาติ ทวยเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ชูไก กล่าวเสริมว่า การที่หุ้นไอพีโอ บมจ.ชูไก ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมากในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาจองที่ 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่เหมาะสมและน่าลงทุน โดยเป็นการกำหนดราคาจากผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาช่วงไตรมาส 1-3 ปี 2550 ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยระดับราคาดังกล่าวมีค่าพี/อี เรโชว์ ประมาณ 10.37 เท่า อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าพี/อี เรโชว์ ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ณ วันที่กำหนดราคา ซึ่งเท่ากับ 11.91 เท่า จึงทำให้นักลงทุนมั่นใจ และเข้ามาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเป็นจำนวนมาก
“สาเหตุที่นักลงทุนตอบรับหุ้นของ บมจ.ชูไก ดีมากเชื่อว่าเป็นเพราะราคาขายที่กำหนด 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่ค่อนข้างจูงใจ ประกอบกับมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องได้ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม เพราะธุรกิจมีการกระจายความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้ดี และประการสำคัญในช่วงที่ผ่านมาแม้ภาวะตลาดฯ จะยังเคลื่อนไหวผันผวนอยู่บ้าง แต่จากแนวโน้มความเคลื่อนไหวของที่ดัชนีฯที่เริ่มปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากมีความชัดเจนด้านการเมือง ก็ช่วยตอกย้ำความมั่นใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย” นายวรชาติกล่าว
บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) แบ่งการประกอบธุรกิจออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
1. การให้บริการเคลื่อนย้ายวัสดุหรืออุปกรณ์โดยรถเครน รถฟอร์คลิฟท์ รถยกตู้คอนเทนเนอร์ รถแมนลิฟท์ เพื่อการก่อสร้าง รวมถึงให้บริการขนส่งและขนย้าย ด้วยรถหัวลาก หางเทรลเลอร์ และรถบรรทุกประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นการให้บริการทั้งแบบการเหมาโครงการโดยการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีการกำหนดระยะเวลาดำเนินการไว้อย่างชัดเจน หรือการให้บริการแบบรายเดือนหรือรายวัน
2. การจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักใช้แล้วให้กับผู้ประกอบการรายย่อยภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ
3. การให้บริการซ่อมแซมเครื่องจักรกลหนักทั้งกับกลุ่มบริษัทย่อยและลูกค้าทั่วไป
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มีรายได้รวมเท่ากับ 598.99 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 89.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 24.54 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเครื่องจักรที่มีต้นทุนทางบัญชีที่ต่ำ และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเช่าและขนส่ง เนื่องจากการนำเครื่องจักรขนาดใหญ่ อย่าง DEMAG CC2800 และ HITACHI SUMITOMO SCX 2500 เข้ารับงานในโครงการขนาดใหญ่ โดยบริษัทฯ กำหนดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ประมาณวันที่ 13 ก.พ. 2551 ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "CRANE" และจากที่บริษัทฯมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 450 ลบ. จะทำให้ "CRANE" เป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงเป็นอันดับหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คุณสิริน วิวัฒน์เจริญพงศ์ โทร. 02-5549394 / 089-7286389