กรุงเทพฯ--4 มิ.ย.--ทีคิวพีอาร์
งานวิจัยของ BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs (Electric Vehicles) กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบัสภายในปีพ.ศ. 2583 และจะคืบคลานเข้ามามีบทบาทอย่างมากในตลาดรถตู้และรถบรรทุกสำหรับการใช้งานในระยะทางใกล้
รายงานอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าประจำปี 2562 ของ BNEF ซึ่งวิเคราะห์บนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยของแต่ละตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดร้อยละ 57 ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปีพ.ศ. 2583 ซึ่งสูงขึ้นกว่าการคาดการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา และคาดว่ารถบัสไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 81 ของรถบัสที่ใช้ในเมืองในระยะเวลาเดียวกัน
นับเป็นครั้งแรกที่ BNEF ได้รวบรวมการวิจัยเชิงลึกของตลาดรถยนต์พาณิชย์ไว้ในการคาดการณ์ ซึ่งชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ จะครองตลาดร้อยละ 56 ของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ และร้อยละ 31 ของตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีนภายใน 2 ทศวรรษข้างหน้า
ตลาดที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ยากที่สุดคือรถบรรทุก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะครองตลาดได้เพียงร้อยละ 19 ภายในปีพ.ศ. 2583 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ขับขี่ในระยะทางสั้น และรถกระบะขนาดใหญ่รุ่นทั่วไปที่ใช้กับงานระยะทางไกลจะเผชิญกับการแข่งขันในรูปแบบอื่นจากการใช้พลังงานทางเลือกเช่นแก๊สธรรมชาติและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน
นายโคลิน แม็คเคอราเชอร์ หัวหน้าแผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF กล่าวว่า "เราพบว่ายานยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานฟอสซิลเกือบทั้งหมดจะหมดไปบนท้องถนน แม้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ยังคงต้องใช้เวลาเพราะการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในโลกยังเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ถ้าหากดำเนินมาถึงช่วงปีพ.ศ. 2563-2572 แล้ว ความนิยมก็จะเริ่มขยายเข้าสู่ยานยนต์ในหลายๆ หมวด เราคิดว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นธรรมดาในตลาดโลกได้เลยจุดสูงสุดมาแล้ว"
บทบาทของการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (shared mobility) ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ร่วมโดยสาร (ride-hailing) และธุรกิจให้บริการรถเช่า (car-sharing) จะมีบทบาทสำคัญในภาพที่กำลังเปลี่ยนไป ในปัจจุบันบริการนี้มีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ของระยะทางของการเดินทางทั้งหมดของผู้โดยสารและผู้ขับขี่ทั่วโลก แต่คาดว่าจะเพิ่มไปถึงร้อยละ 19 ภายในปีพ.ศ. 2583 ทั้งนี้ทีมงานของ BNEF คาดการณ์ว่ารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (autonomous driving) จะยังไม่มีผลต่อรูปแบบการคมนาคมขนส่งและการพลังงานของโลกจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2573
นายอาลี อิซาดี้-นาจาฟาบาดี้ หัวหน้าหลักในการวิเคราะห์การแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (shared mobility) กล่าวว่า "ผู้ให้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันจะเลือกเปลี่ยนมาให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเร็วกว่าผู้ใช้ทั่วไป ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันเช่น รถยนต์ร่วมโดยสารถึง 1 พันล้านคนทั่วโลก บริการนี้นับวันจะเติบโตขึ้นและจะค่อยๆ ลดความต้องการในการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 20 ปีข้างหน้าคือราคาที่ลดลงอย่างมากของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นผลให้นับจากช่วงกลางหรือปลายปี 2563 เป็นต้นไปนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในแทบทุกตลาด ทั้งด้านค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานและค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า นับตั้งแต่ปีพ.ศ 2554 เป็นต้นมาต้นทุนเฉลี่ยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลดลงถึงร้อยละ 85 เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตจากขนาด (economy of scale) ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยี
รายงานของ BNEF ยังคาดการณ์ด้วยว่าประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 48 และร้อยละ 26 ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำหน่ายในปีพ.ศ 2568 และพ.ศ. 2583 ตามลำดับเพราะตลาดอื่น ๆ ได้ตีตื้นขึ้นมา ทวีปยุโรปจะนำหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาและครองอันดับที่สองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงปีพ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2572 แต่การใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ของตลาดเกิดใหม่ที่ไม่ใช่ประเทศจีนจะเติบโตช้ากว่ามาก ซึ่งจะทำให้เกิดภาพที่ไม่กลมกลืนของตลาดรถยนต์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตามโดยรวมๆแล้วรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ โดย BNEF คาดว่ายอดขายของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคันทั่วโลกในพ.ศ. 2561 เป็น 28 ล้านคันในปีพ.ศ. 2573 และ 56 ล้านคันในพ.ศ. 2583 ในขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบดั้งเดิมจะลดลงเหลือ 42 ล้านคันในพ.ศ 2583 จากประมาณ 85 ล้านคันในพ.ศ. 2561 และคาดว่านโยบายสนับสนุน อาทิกฏเกณฑ์ด้านอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงต่อระยะทาง และนโยบายใหม่ของจีนด้านพลังงานสำหรับรถยนต์จะผลักดันการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 5-7 ปีข้างหน้าก่อนที่จะเติบโตได้เองช่วงครึ่งหลังของช่วงทศวรรษระหว่างปีพ.ศ. 2563 - 2572
อุตสาหกรรมน้ำมัน ไฟฟ้า และแบตเตอรี่จะได้รับผลกระทบจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า โดยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา BNEF ได้ประเมินผลกระทบด้านความต้องการเชื้อเพลิงบนถนนอยู่ที่ 7.3 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปีพ.ศ. 2583 อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ปริมาณความต้องการมีมากกว่าเป็นสองเท่าที่ได้คาดไว้หรือ 13.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์เรื่องการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์เป็นรถยนต์ไฟฟ้าของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และที่ค่อนข้างย้อนแย้งคือการที่อีกส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์สันดาปภายในที่คาดว่าจะเดินหน้าไปได้ช้ากว่าที่คิดไว้ นั่นหมายความว่ารถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่จะมาแทนที่รถยนต์ทั่วไปกลับจะต้องใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นในการขับขี่
ท่านสามารถอ่านรายงานเพิ่มเติมได้ที่ https://bnef.turtl.co/story/evo2019.
เกี่ยวกับ บลูมเบิร์ก
บลูมเบิร์กเป็นผู้นำการรายงานข่าวสารข้อมูลด้านการเงินและธุรกิจระดับโลกเพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ และข้อได้เปรียบด้วยการเชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับพลวัตเครือข่ายข้อมูล ผู้คนและความคิด จุดแข็งของบลูมเบิร์กทั้งในด้านการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร และการวิเคราะห์ผ่านเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ที่รวดเร็วและถูกต้องคือหัวใจของบลูมเบิร์ก เทอร์มินัล (Bloomberg Terminal) โซลูชันในองค์กรของบลูมเบิร์กสร้างขึ้นบนจุดแข็งหลักของบริษัทฯ นั่นคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึง ผสมผสาน เผยแพร่ และบริหารจัดการข้อมูลและข่าวสารทั่วทั้งองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเข้าชมได้ที่ Bloomberg.com หรือ ทดลองรับข่าวสาร