กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์
รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ เพิ่มความเชี่ยวชาญดูแลผู้ป่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น เช่น เด็กสมาธิสั้น ออทิสติก เด็กบกพร่องทางสติปัญญาและเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยเปิดให้บริการด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่า สนูซีเลน มาช่วยกระตุ้นเติมเต็มการทำงานระบบประสาทรับความรู้สึกของเด็กที่ขาดหายไป เพิ่มคุณภาพรักษา ช่วยให้เด็กมีสมาธิ ผลการทดลองใช้ในเด็ก 24 คน พบได้ผลดี ร้อยละ 95 มีอารมณ์ สมาธิดีขึ้น เล็งขยายผลใช้ฟื้นฟูผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมในระยะแรกในอนาคตด้วย
นายแพทย์ชิโนรส ลี้สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาล(รพ.)จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา เพื่อติดตามผลการพัฒนาระบบบริการดูแลปัญหาการเจ็บป่วยทางจิตของประชาชนในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งขณะนี้กรมสุขภาพจิตมีนโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลและฟื้นฟูให้มากที่สุดและอยู่ในระบบจนหายขาดหรือดีขึ้น ผลงานในรอบ 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561-เดือนมีนาคม 2562 พบว่าการเข้าถึงบริการดีขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่ โดยโรคจิตเภท เข้าถึงบริการร้อยละ 83 ซึมเศร้าเข้าถึงบริการร้อยละ66 ผู้ติดสุราเรื้อรังเข้าถึงร้อยละ 17 ป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายซ้ำในผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายได้ร้อยละ 96 การฆ่าตัวตายมีแนวโน้มลดลง
ในส่วนของกลุ่มเด็ก ที่เร่งเข้าถึงการดูแล คือ เด็กสมาธิสั้น คาดทั้งเขตสุขภาพที่ 9 มีเด็กป่วยประมาณ 43,000 คน เข้าถึงบริการยังน้อยเพียงร้อยละ 2.39 และออทิสติก คาดมีประมาณ 1,700 คน เข้าถึงบริการแล้วร้อยละ 25 ได้มอบนโยบายให้เร่งเพิ่มระบบการค้นหาในหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อนำเด็กเข้าสู่การดูแลฟื้นฟูเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันได้ยกระดับบริการในระดับเชี่ยวชาญ โดยนำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า สนูซีเลน (Snoezelen) มาใช้กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทรับความรู้สึกต่างๆของเด็กที่บกพร่องไปจากความผิดปกติในสมองตั้งแต่กำเนิด ขณะนี้เปิดให้บริการแล้วที่รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลต่างๆในเขตสุขภาพที่ 9 ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคมที่เหมาะสม รวมทั้งนำมาใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีปัญหาบกพร่องทางการเรียนรู้และบกพร่องทางสติปัญญาด้วย เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาของแพทย์ จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น
ทางด้านนายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการรพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีของสนูซีเลนนี้ จะเป็นห้องบำบัด (Snoezelen Room) ที่ใช้ครั้งนี้เป็นชนิดให้ผลผ่อนคลาย ลดพฤติกรรมเด็ก เด็กจะมีความสุข มีสมาธิจดจ่อดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนงบดำเนินการทั้งหมด จากคุณสุวัฒน์ จึงวิวัฒนาภรณ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดคิงส์ยนต์ จ.นครราชสีมา มูลค่า 2 ล้านบาท ภายในห้องจะมีอุปกรณ์ที่ให้แสง สี เสียง และกลิ่นหอม เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ คล้ายๆกับห้องสปา เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในสมองที่หลากหลายโดยจำลองบรรยากาศต่างๆเข้ามาช่วยเช่น ท้องฟ้า ดาว ทะเล ภูเขา เรียกว่า มัลติเซ็นซอรี่" (Multi-Sensory Environment) ทั้งด้านการมองเห็น, การได้ยิน, การสัมผัส, การได้กลิ่น, การเคลื่อนไหว เช่น มีเก้าอี้ดนตรีให้นั่งฟังเพลง มีพรมทางช้างเผือกให้เด็กเล่นตามความสนใจ เพื่อใช้ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก ควบคู่กับการบำบัดรักษา พร้อมทั้งเพิ่มทักษะต่างๆที่จำเป็นให้เด็ก เช่น การรับรู้ตนเอง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสาร , การผ่อนคลาย และลดพฤติกรรมการกระตุ้นตนเองซ้ำๆซึ่งมักพบในเด็กออทิสติก เป็นต้น โดยมีนักกิจกรรมบำบัดให้บริการ 3 คน ซึ่งจะดูแลเชื่อมโยงกับการรักษาของแพทย์
"จากการทดลองบริการในเด็ก 4 กลุ่มที่กล่าวมาจำนวน 24 คน ในรอบ1 เดือนมานี้ พบว่าได้ผลดีมาก เด็กร้อยละ 95 มีพฤติกรรมนิ่งขึ้น มีสมาธิที่จดจ่อ ไม่วอกแวก อารมณ์และด้านสังคมดีขึ้น โดยการบำบัดจะมีทั้งรายเดี่ยวและรายกลุ่ม เฉลี่ยวันละ 6-7 คน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงต่อคน ต่อเนื่อง 10 ครั้งหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับอาการของเด็ก แผนการพัฒนาต่อไป คือ การเพิ่มห้องสนูซีเลนแบบกระตุ้น (adventure room) คือเด็กจะวิ่งเล่นได้หรือมีอุปกรณ์ช่วยลดพฤติกรรม เช่น ชิงช้า แทรมโพลิน เป็นต้น ใช้ควบคู่กับห้องผ่อนคลาย เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด มีความปลอดภัยสูง จะทำให้การบำบัดฟื้นฟูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และในอนาคตอาจขยายผลใช้ในผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมในระยะแรกอีกด้วย เพื่อฟื้นฟูการรับรู้ การคิด และทักษะต่างๆให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้" นายแพทย์กิตต์กวีกล่าว
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา มีเด็กและวัยรุ่นเข้ารับบริการที่รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ รวม 3,690 คน อันดับ 1 ได้แก่ โรคสมาธิสั้น ร้อยละ 44 รองลงมาคือ บกพร่องทางสติปัญญาร้อยละ 30 และออทิสติก ร้อยละ 26 มาตรฐานการบำบัดรักษาเด็กและวัยรุ่นจะเน้นการบูรณาการทั้งยา การปรับพฤติกรรม อารมณ์สังคมควบคู่กันจึงได้ผลดี