กรุงเทพฯ--6 มิ.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน ว่า จากการที่ระบบการผลิตและการค้ามีการแข่งขันสูง เกษตรกรรายย่อยจึงต้องรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง โดยมีการรวมตัวกันเป็นสหกรณ์ ผลิตและทำการตลอดแบบครบวงจร จนสามารถขยายขนาดธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด กระทรวงเกษตรฯ จึงมุ่งพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีความสามารถในการแข่งขันและเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรและสมาชิก โดยพัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์ใน 4 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่สมาชิก เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงิน การยกระดับการควบคุมภายใน และส่งเสริมการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็งในระดับสหกรณ์ชั้น 1 และ 2 คิดเป็นร้อยละ 78 ของสหกรณ์ทั้งหมด ส่งผลให้มีสหกรณ์ภาคการเกษตรกว่า 1,573 แห่ง มีศักยภาพในการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตการเกษตรที่สำคัญของเกษตรกรสมาชิก เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น โดยมีปริมาณการรวบรวมมากกว่า 5.53 ล้านตัน/ปี มีสหกรณ์ที่สามารถจัดการด้านคุณภาพและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ปริมาณรวม 1.103 ล้านตัน/ปี จำนวน 718 แห่ง มีสหกรณ์ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรส่งออกไปยังต่างประเทศกว่า 28 ประเทศ ผลผลิตจำหน่ายรวม 45,869.05 ตัน มูลค่า 1,888.52 ล้านบาท จำนวนกว่า 55 แห่ง
ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาสหกรณ์ในระยะเวลา 5 ปี ส่งผลให้ในปัจจุบันมีสมาชิกสหกรณ์รวมทั้งสิ้น 11.57 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 0.10 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 0.87) สหกรณ์มีทุนดำเนินงานรวม 3.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 0.69 ล้านล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 28.28) และมีปริมาณธุรกิจรวม 2.52 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 0.29 ล้านล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 13.21)