กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--เวิรฟ พับบลิค รีเลชั่นส์ คอนซัลแตนท์ซี
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำยนตรกรรมที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจนเนอเรชั่นที่ 3 ภายใต้แบรนด์ EQ อย่าง Mercedes-Benz C 300 e ยนตรกรรมซาลูนสุดหรูอัจฉริยะรุ่นประกอบในประเทศ สร้างมาตรฐานครั้งใหม่ให้กับรถยนต์ในเซ็กเมนต์นี้ ที่ผสมผสานขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยอย่างครบครัน โดยนำเสนอในสองรุ่นย่อย ได้แก่ The C 300 e AMG Dynamic ราคา 3,215,000 บาท และ The C 300 e Avantgarde ราคา 2,699,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้แล้วที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั้ง 33 แห่งทั่วประเทศ
มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในฐานะผู้นำด้านยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมอร์เซเดส-เบนซ์มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ของความยั่งยืน โดยเมื่อเร็วๆ นี้ทางบริษัท เดมเลอร์ เอจี ได้ตั้งเป้าว่า ภายในปีพ.ศ. 2573 ยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์มากกว่าครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มรถยนต์ ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และในปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงเดินหน้าสานต่อแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต และการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมไฟฟ้าที่นำเสนอรุ่นรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการมุ่งนำเสนอยนตกรรมที่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะ และความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ควบคู่ไปกับการผลิต ยนตกรรมที่สามารถลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย"
"โดยในปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์นำเสนอเทคโนโลยีภายใต้แบรนด์ EQ ทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) EQ เทคโนโลยีในรถยนต์ Battery Electric Vehicles หรือ BEV 2) EQ Power ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ เทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (EQ Power) และเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต กลุ่มเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี และรถยนต์สมรรถนะสูง (EQ Power+) และ 3) EQ Boost เทคโนโลยี 48 โวลต์ที่ช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้กับรถยนต์ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีบริษัทฯ ได้เปิดตัว Mercedes-Benz S 560 e รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นเรือธงระดับพรีเมี่ยมที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งผู้นำภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2019 และล่าสุดเพื่อเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ EQ บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจนเนอเรชั่นที่ 3 อย่าง "Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ" ยนตรกรรมซาลูนหรูอัจฉริยะที่ผสมผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของรถยนต์ในตระกูล C-Class และเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดไว้ได้ลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทรงพลัง และยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" มร. โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติม
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ คือ รถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจนเนอเรชั่นที่ 3 โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 30% และช่วยให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมดีไซน์การออกแบบอันหรูหรา ปราดเปรียวในสไตล์ของรถยนต์ตระกูล C-Class และผสานด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเทียบเท่ารถยนต์ตระกูล S-Class อีกด้วย อีกทั้งยังมาพร้อมกับบริการ 'Mercedes me connect' ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งเทคโนโลยีนี้มาพร้อมฟังก์ชันอันโดดเด่นมากมายที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเพิ่มบริการและฟังก์ชันต่างๆ ตามต้องการได้ผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
- Vehicle status ที่จะบอกสถานะความพร้อมของอะไหล่รถยนต์ และคอยประสานงานแจ้งเตือนทั้งทางลูกค้าและโชว์รูม
- Remote Service ฟังก์ชันที่ช่วยให้การใช้รถของคุณสะดวกสบายมากขึ้น โดยคุณสามารถเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า หรือการสั่งเปิด หรือล็อกประตูรถจากระยะไกล เป็นต้น
- Accident Recovery and break down management ปุ่มรูปโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือ
ผู้ขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน รถเสีย หรือสอบถามข้อมูลทั่วไปผ่านคอลเซ็นเตอร์
โดยทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น Mercedes-Benz C 300 e ทั้งหมด 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ C 300 e Avantgarde และ C 300 e AMG Dynamic"
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ
Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ มอบประสบการณ์ขับขี่ให้กับลูกค้า ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี ที่ให้ พละกำลังสูงถึง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ความเร็วรอบ 1,200 – 1,400 ต่อนาที ซึ่งเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้าที่ 4,500 – 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดถึง 700 นิวตันเมตร นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ ต่ำกว่า 45 กรัม ต่อกิโลเมตรเท่านั้น
ดีไซน์ภายนอก
โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ดูปราดเปรียว เร้าใจ ผสานด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะของอุปกรณ์ต่างๆ โดยรุ่น C 300 e Avantgarde จะใช้กระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมี่ยม พร้อมตราสัญลักษณ์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว ส่วนในรุ่น C 300 e AMG Dynamic จะติดตั้งกระจังหน้าแบบ diamond grille สีเงินพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว โดยมีกันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้างเป็นดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG Bodystyling โคมไฟหน้าและหลังได้รับการออกแบบ โดยใช้เส้นโค้งเป็นองค์ประกอบหลัก พร้อมใช้วัสดุคุณภาพสูงเพื่อสร้างความประทับใจสูงสุด ในแง่รูปลักษณ์ และความรู้สึก รวมถึงการใช้ไฟหน้าแบบ LED High Performance ในรุ่น C 300 e Avantgarde และเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ในรุ่น C 300 e AMG Dynamic พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ซึ่งประกอบด้วยหลอดไฟ LED ที่ทำงานโดยอิสระจำนวน 84 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถปรับความเข้มแสง โดยใช้ระบบไฟหน้าให้เข้ากับสภาพการจราจร โดยรอบได้ ซึ่งระบบไฟหน้า MULTIBEAM LED มีคุณสมบัติพิเศษมากมายที่เหนือกว่าระบบไฟหน้า LED มาตรฐาน (ที่มีหลอดไฟ LED 19 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม) เช่น ระบบไฟส่องสว่างขณะขับผ่านสี่แยกหรือวงเวียน ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเมือง และระบบไฟส่องสว่างสำหรับสภาวะอากาศเลวร้าย
ทั้งนี้ ระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam จะทำงานอัตโนมัติหากระบบตรวจจับได้ว่า ไม่มีผู้สัญจรในทางรถสวน ถนนข้างหน้าเป็นทางตรง และผู้ขับขี่กำลังใช้ความเร็วตั้งแต่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam จะช่วยให้ไฟหน้าของรถมีความสว่างในระดับที่สูงขึ้นตามความเร็วของรถโดยสามารถส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร นอกจากนี้ในรุ่น C 300 e AMG Dynamic ยังมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่เลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้าอีกด้วย
ดีไซน์ภายใน และห้องโดยสาร ถูกออกแบบให้มีความหรูหราสไตล์สปอร์ต และมีโครงสร้าง ที่ดูต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียว โดยรุ่น C 300 e Avantgarde จะมาพร้อมกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control ในขณะที่ C 300 e AMG Dynamic พวงมาลัยที่มา พร้อมกับระบบมัลติฟังก์ชัน ตกแต่งแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control โดยรุ่น C 300 e Avantgarde ใช้เบาะหุ้มด้วยหนัง ARTICO และ C 300 e AMG Dynamic ใช้เบาะหุ้มหนังแบบสปอร์ต และมาพร้อมกับ Memory Seat Package โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับระบบกุญแจแบบ KEYLESS-START ในขณะที่รุ่น C 300 e AMG Dynamic จะมีระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO เสริมเข้ามาด้วย
Mercedes-Benz C 300 e ยังมาพร้อมกับหน้าจอมัลติมีเดียบริเวณกลางคอนโซลแบบ MB Audio 20 ขนาด 10.25 นิ้ว เพื่อใช้ในการควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสด้วยระบบ Touch pad ไม่ว่าจะเป็นระบบ Apple CarPlay(TM) ระบบถอยจอดแบบอัตโนมัติ หรือระบบแผนที่นำทาง 3 มิติรูปแบบใหม่ในรุ่น C 300 e AMG Dynamic เป็นต้น อีกทั้งยังได้เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทางด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า นอกจากนี้ ในรุ่น C 300 e AMG Dynamic ยังได้นำเทคโนโลยี และรูปแบบการใช้งานมาจากรถยนต์ The S-Class โดยมีระบบ All-Digital instrument display หน้าจอเรือนไมล์แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ Classic Sporty และ Progressive
ระบบเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย ที่มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่รุ่นล่าสุด สำหรับตระกูล The C-Class ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับระบบที่ใช้ในรถยนต์ The S-Class อาทิ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ช่วยเสริมเรื่องความปลอดภัย และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อาทิ โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program - ESP(R)) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake light) ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ ABA (Active Brake Assist system)ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) ระบบเตือน เพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST Service interval indicator) ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) ระบบช่วยการ นำรถเข้าจอดแบบอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ระบบ DYNAMIC SELECT คือ แบบ Sport Sport+ และ Comfort และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth นอกจากนั้น ยังมีระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround view camera) และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester(R) surround sound system ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะในรุ่น C 300 e AMG Dynamic นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ ระบบแผนที่นำทางที่ติดตั้งเฉพาะในรุ่น C 300 e AMG Dynamic และกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ (Reversing camera) ที่มีเฉพาะในรุ่น C 300 e Avantgarde อีกด้วย
Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มี ขนาดความจุ 13.5 kWh มากกว่าเดิมถึง 111% ผสานกับประสิทธิภาพของเซลล์แบตเตอรี่ ชนิดใหม่ซึ่งมีส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 10% จนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาที หากชาร์จด้วยเครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว
- C 300 e Avantgarde รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 2,699,000 บาท
- C 300 e AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 3,215,000 บาท
สำหรับลูกค้าผู้ที่สนใจรถยนต์ Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ สามารถ เยี่ยมชม พร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั้ง 33 แห่ง ทั่วประเทศ