กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--เวเบอร์ แชนด์วิค
การมาถึงของเทคโนโลยี 5G หรือระบบการสื่อสารแบบไร้สายในยุคที่ 5 มีความคล้ายคลึงกับการเปิดตัว 4G ในอดีต ที่ช่วยปลดล็อคและสร้างโอกาสมากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น 5G ที่มีความเร็วสูงขึ้นและความหน่วงลดลงจะส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดข้อได้เปรียบมากกว่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม ดังนั้นเมื่อไรที่บริการ 5G เกิดขึ้นจริงอย่างเต็มรูปแบบ ศักยภาพของ 5G นั้นจะไม่จำกัดเพียงแค่บนสมาร์ทโฟน แต่จะสามารถต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในอุตสาหกรรมทุกประเภท
กว่า 35 ปีของการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก "ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์" ยังเป็นผู้บุกเบิกระบบ 5G โดยมุ่งมั่นที่จะนำทุกองค์ประกอบของกระบวนการพัฒนารวมเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่การวิจัยถึงการพัฒนา ไม่เพียงในระดับมือถือ แต่ในระดับเครือข่ายทั่วโลก รวมถึงยังเป็นผู้สร้างมาตรฐานการส่งข้อมูลทางคลื่น 5G ซึ่งได้รับการอนุมัติครั้งแรกในช่วงปลายปี 2560 ส่งผลให้ซัมซุงสามารถเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเครื่องแรกของโลกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านม อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศสำหรับการเปลี่ยนผ่านจาก 3G สู่ LTE และด้วยประสบการณ์ที่ไม่ได้จำกัดแค่โครงสร้างพื้นฐานนี้เองทำให้บริษัทพร้อมที่จะเป็นผู้นำการพัฒนา 5G อย่างแท้จริง
ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโซลูชั่น 5G
ความท้าทายที่เกิดขึ้นสำหรับซัมซุงคือ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอุปกรณ์มือถือที่รองรับแถบความถี่สูงมาก่อน บริษัทจึงต้องมีการศึกษาเพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์ของกาแลคซี่ เอส 10 5G ในแง่ของการสร้างโซลูชั่นที่รองรับแถบความถี่สูงเพื่อลดปัญหาสัญญาณอ่อน อันเป็นผลมาจากสิ่งกีดขวางทางกายภาพหรืออุปสรรคที่ปิดกั้นคลื่นความถี่ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับวัตถุโลหะ เนื่องจากบริษัทได้สะสมประสบการณ์และองค์ความรู้ที่หลากหลายมาอย่างยาวนาน ทำให้รู้ถึงความต้องการและการใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคที่มักจะใช้งานอยู่เกือบตลอดเวลา จึงสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้ตัวเครื่องเชื่อมต่อสัญญาณ 5G ได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุดสมกับเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมนี้อย่างแน่นอน
ความแตกต่างของเทคโนโลยีไร้สาย
การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีไร้สายถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุค 2G ไปสู่ 3G และ 4G ซึ่งทำให้การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยภาพ เสียง หรือวิดีโอสามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น และเทคโนโลยีใหม่อย่าง 5G ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในขณะนี้จะมีความพิเศษในการรับ-ส่ง ข้อมูลเร็วขึ้นกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้าถึงกว่า 10 เท่า อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าเนื่องจากสามารถรองรับปริมาณข้อมูลได้มากกว่าในช่วงเวลาเท่ากัน
ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการมาถึงของ 5G
เมื่อมีระบบ 5G แบบครบวงจร ความสมบูรณ์ของแบนด์วิดธ์ในเครือข่ายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การส่งผ่านของข้อมูลมีความหน่วงต่ำสุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเกิดผลดีต่อทุกอุตสาหกรรมในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัยของรถยนต์สมาร์ทคาร์, เสถียรภาพของโรงงานอัจฉริยะ, ความแม่นยำของหุ่นยนต์อัจฉริยะในการใช้งานด้านการแพทย์, รวมถึงในด้านของเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ระบบ 5G จะช่วยยกระดับศักยภาพการเชื่อมต่อ พร้อมกันเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระบบ LTE
สมาร์ทโฟน 5G เครื่องแรกของโลก
เมื่อพูดถึงอุปกรณ์สำหรับ 5G ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าซัมซุงได้พัฒนานวัตกรรมฮาร์ดแวร์ครั้งใหญ่เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์ของสัญญาณ LTE ทั้งหมด พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนของระบบ 5G โดยเฉพาะอย่างชิปโมเด็ม 5G และชิป 5G RF ซึ่งจำเป็นต้องมีชิ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาดีไซน์ในแบบฉบับ Unibody ของเครื่อง กาแลคซี่เอาไว้ ส่งผลให้ 'กาแลคซี่ เอส 10 5G' ยังคงไว้ด้วยดีไซน์เพรียวบางอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงยังได้ติดตั้งเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ซีพียู และแรมโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้เครื่องได้ยาวนานไม่เปลืองพลังงานจากแบตเตอร์รี่ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G เครื่องแรกของโลก ที่วางจำหน่ายในประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ยังคงเป็นผู้นำอันดับ 1 ในด้านนวัตกรรมและโซลูชั่นสำหรับมือถือ ด้วยการนำสมาร์ทโฟน 5G มาให้บริการเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก และต่อจากนี้ซัมซุงยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจต่อไปเพื่อมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันได้อย่างแท้จริง