กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--บีซีพีจี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2562 จำนวนทั้งสิ้น 771 หลักทรัพย์
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท บีซีพีจี ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2562 ด้วยการคัดเลือกจาก 771 หลักทรัพย์จดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่ม ทรัพยากร (Resources) และยังเป็นบริษัทที่อยู่ในทำเนียบ ESG100 ติดต่อกัน 2 ปี โดยบีซีพีจีได้รับการจัดอันดับครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2561
นายบัณฑิตกล่าวว่า "หลังจากที่บีซีพีจีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปีพ.ศ. 2560 ได้เพียงปีเดียว ก็ได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับ ESG100 ในปีพ.ศ. 2561 และในปีนี้ก็ได้รับคัดเลือกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน การที่บีซีพีจีมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาล คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม รวมถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทและสังคม"
สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ห้าในปีนี้
ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
เกี่ยวกับบีซีพีจี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้ประกอบการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมและพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 600เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มการทำการตลาดกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงมากขึ้น เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงให้บริการการจัดการด้านพลังงานหรือ energy as a service และนำเทคโนโลยีล้ำสมัยระดับโลกมาใช้ ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย