กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--Orange Mama
เป็นนักร้องมากความสามารถที่มีดีกรีเป็นผู้ชนะเลิศจากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 6 สำหรับ ซานิ นิภาภรณ์ หรือ ซานิ af6 ที่กว่าจะมาถึงวันนี้เจ้าตัวต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ทั้งเรื่องการเหยียดเพศ การถูก Bully จนทำให้เจ้าตัวคิดอยากจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว
ล่าสุด สาวซานิ มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่อง ONE31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์, ธัญญ่า ธัญญาเรศ และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร
ยิ่งโตยิ่งสวยขึ้น มีคนพูดบ่อยไหม?
ซานิ : มีคนพูดอย่างนี้บ่อย แต่เราก็บอกว่าสวยเพราะมือหมอ เราก็จะพูดอย่างนี้ตลอด เราไม่ได้ทำอะไรเลย แค่หมอทำให้แค่นั้นเอง
ทำอะไรบ้าง?
ซานิ : คนจะถามเยอะว่าทำอะไรบ้าง ก็ดูจากหน้าเก่าไป หนูทำจมูกอยู่แล้ว โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ต้องมี ซึ่งพอเราไปพูดบ่อยๆ อย่างนี้คนก็คิดว่าเราต้องทำหลายอย่าง แต่เราทำน้อยมาก
จมูกทำทั้งหมดกี่รอบ?
ซานิ : 2 ค่ะ ก็คือทำแล้วปุ๊บด้วยความเกรงใจตัวเอง เราไปทำแล้วรู้สึกว่ามันเล็กหรือเปล่า พอมันรัดปุ๊บมันกลืนเข้าที่เหมือนคนไม่ได้ทำ เราก็คิดว่าเอายังไงดี พอเขาหยิบอันใหญ่มาเราก็บอกไม่ๆ หนูเอาอันเล็ก ตอนนั้นเรายังเด็ก พอถึงวันนึงมันไม่ใช่แล้วเราก็ทำแก้อีก แล้วก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่แก้อีกแล้ว เพราะว่ามันทรมาน
แล้วแพลนไว้ไหมว่าอนาคตอยากทำอะไรอีก?
ซานิ : ถ้าถามตอนนี้หนูอยากทำคาง คือหนูดูจากโหงวเฮ้ง แล้วหนูรู้สึกว่าคางมันสั้น แล้วมัคนแนะนำมา เพราะเราเป็นคนจีนหน้าก็จะกลมๆ แต่ที่ยังไม่ทำเพราะว่าเราเป็นคนดูแลตัวเองไม่เก่ง
วันนี้ที่สวยได้ขนาดนี้เพราะว่าในอดีมีปม?
ซานิ : ใช่เป็นคนมีปม
จริงหรือเปล่าสมัยที่เพิ่งเริ่มดังใหม่ๆ โดนเหยียดเรื่องหน้าตาหนักมาก?
ซานิ : หนูไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนด่าหรือว่าติรูปร่างหน้าตาเราว่ายังไงบ้าง ครั้งแรกเลยตอนที่เราประกวดเสร็จหนูก็จะทำงานเยอะมาก ในโซเชียลแทบจะไม่ได้อ่านเลย จนเราเริ่มออกไปทำงานเยอะๆ แล้วก็มีคนมาพูดกับเราว่าได้อ่านบ้างหรือเปล่านี้ได้ดูกระแสบ้างหรือเปล่าตอนที่เราอยู่ในบ้าน เราก็บอกว่าไม่ได้ดู เพราะว่าออยู่ในบ้านมือถือก็ไม่มี พอออกจากบ้านมาก็แทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องตรงนี้ พอคนเริ่มพูดเยอะๆ หนูก็เลยลองเปิดเข้าไปอ่านดูว่ามันจริงไหม โอ้โห พออ่านปุ๊บแล้วมันเหมือนหยุดอ่านไม่ได้ อ่านทั้งคืน มันมีแต่คำที่เหยียดเรา แบบผิดเพศ อีหน้าหนอน แบบพ่อ แม่เลี้ยงมายังไงถึงทำตัวแบบนี้
เรารู้สึกยังไง?
ซานิ : เอาตรงๆ นะคะ อยากตาย ณ ตอนนั้นหนูใช้ชีวิตอยู่กับ พ่อ แม่ ในคอนโดห้องเล็กๆ บ้านเราไม่ได้รวย ขนาดห้อง 20-30 แค่นั้น อยู่กัน 3 คน แล้วหนูเป็นเด็กที่ไม่พูดเลย ด้วยความที่เราอยู่กับพ่อ แม่ เราก็ไม่อยากแสดงว่าเราทุกข์ เราเสียใจ จนหลังจากเป็น AF เราได้ของจากแฟนคลับเยอะ เราก็เลยมีเงินพอที่จะเช่าอีกห้องนึงซึ่งอยู่ในที่เดียวกัน หนูก็เลยมีโอกาสได้อยู่คนเดียว พอเราได้อ่านเรื่องพวกนี้หนูก็คิดว่าทำไมคนเราต้องเหยียดเอาให้แบบจมดินไปเลย โห มันเป็นคำพูดที่แบบให้เราตายไปเลยไหมคำพวกนี้มันจะได้หยุดซักที สิ่งที่มันแรงสำหรับหนูคือ หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดมาผิดเพศ ไม่ได้ตั้งใจเกิดมาจะชอบได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ไม่ได้ตั้งใจว่าหนูจะเป็นทอมหรือจะเป็นดี้ หรือเป็นเพศอะไร หนูแค่คิดว่าคนเรามีความสุขกับชีวิต หนูคิดแค่นี้ แต่คนอื่น คนที่เขามองหนูแบบนั้นเขากลับมองอีกแบบหนึ่ง เขามองว่าคนผิดเพศแบบนี้จะมาเป็นแชมป์ประกวดแบบนี้ได้ยังไง ทำเพื่อสร้างกระแส ทำเพื่ออะไร พอคนไปขุดมาจริงๆ ไปขุดเรื่องที่หนูเคยคบใคร แล้วเขาก็เห็นจริงๆ ว่าหนูก็มีทั้งแฟนผู้หญิงแล้วก็มีทั้งแฟนผู้ชายจริงๆ เราก็ไม่สามารถไปนั่งอธิบายคำว่าผิดเพศที่คุณพูดมันหมายถึงอะไร หรือใช้คำว่าหนอนกับเรา เพราะว่าจำกัดเพศไม่ได้ ได้แชมป์มาได้ยังไง คนนั้นร้องดีกว่า คนนี้ร้องดีกว่า หรือเช่นคำที่แบบแรงๆ เลยคือ ร่าน แรด อย่างงี้ เพราะว่าตอนอยู่ในบ้านเราอยู่กับเพื่อน แล้วเราก็มีเพื่อนผู้ชาย หนูเป็นคนห้าวๆ อยู่แล้ว แล้วก็เล่นกับเพื่อนได้หมด ปกติหนูจะมีเพื่อนผู้ชายเยอะมาก เพื่อนทอมเยอะมาก เราก็เล่นกับเพื่อนโดยที่เราไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ว่าคนข้างนอกที่บางคนเขาอาจจะเชียร์คนคนหนึ่งอยู่ แล้วเราไม่ได้ทำตัวตามความต้องการของเขา เราไปยุ่งกับคนที่เขาชอบ บางทีเราเกินเหตุเกินไป คือถ้าเรียกง่ายๆ เราเป็นผู้หญิงข้ามเพศไปแล้ว เราไม่สนใจแล้วว่านี้คือผู้ชาย เราก็เล่นเหมือนเป็นเพื่อน พอเราเจอคำพูดแบบนี้มันก็เลยทำให้เรากลับไปหาคำตอบว่าทำไมเราถึงโดนว่าแบบนี้ หนูถึงขั้นกลับไปย้อนดูในยูทูบที่เขาลงเกี่ยวกับหนูอยู่ในบ้าน จนหนูถามตัวเองว่าทำไม ทำไม เพราะอะไร เพราะเราเป็นแบบนี้หรอ มันก็เลยกลายเป็นความผิดที่เกิดขึ้นกับความคิดของตัวเอง
แล้วประกอบกับตอนนั้นเราเช่าห้องอยู่คนเดียว แล้วไม่ได้บอกพ่อ บอกแม่?
ซานิ : คือพ่อกับแม่ก็อยู่ที่เดียวกัน แต่พ่อแม่จะเข้าใจเลยว่าเราทำงานหนักมากในช่วงนั้นก็จะไม่ยุ่ง แล้วหนูเป็นคนไม่พูด พอถึงเวลากลับบ้านหนูก็กลับเข้าห้อง ก็ต่างคนต่างแยก
ที่บอกว่าอยากฆ่าตัวตายเคยลองลงมือทำไหม?
ซานิ : คือหนูเคยหยิบมีดขึ้นมา แบบจะเอาเดี๋ยวนี้แล้วก็มาดูตารางงานว่าพรุ่งนี้มีงาน หนูก็เลยคิดว่าทำงานก่อนเดี๋ยวค่อยตาย แล้วมันก็โชคดี ทุกวันนั้นตารางงานมันมาแน่นตลอดมันก็เลยไม่มีเวลาให้ตาย
ตลอดเวลาที่ตารางงานแน่น เราไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ก็ยังโดน บูลลี่ตลอดเวลาด้วยคำพูด ด้วยคอมเมนต์ แล้วอะไรที่ทำให้เรา
ตัดสินใจว่าไม่แล้ว ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเอง?
ซานิ : คนเรายิ่งห้ามตัวเองว่าไม่ให้อ่าน ยิ่งอยากอ่าน ยิ่งอยากรู้ หนูอ่านจนแบบวันนี้มันรู้สึกแย่มากกับชีวิต แล้วเราก็นอนอยู่วันหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่านี่เราทำอะไรอยู่ เรานอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดคนจนหัวเตียงมีหนังสือที่แฟนคลับซื้อให้ เป็นหนังสือที่แบบธรรมมะ เขารู้ว่าหนูชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว หนูก็เลยคว้าไปหยิบมา คือหยิบด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจอยากจะอ่านหรอก แต่หนังสือเล่มนั้นเป็นของท่าน ว.วัชรเมธี แล้วหนูก็เปิดเหมือนคนไม่ได้อยากอ่าน เปิดไปหน้าสุดท้ายแล้วหนูก็เจอเป็นคติเกี่ยวกับเรื่องขอโทษกับขอบคุณ คือใครขอบคุณคำติของทุกคน เพราะสุดท้ายเราจะรู้เลยว่าเรายังดีไม่พอ คำว่าดีไม่พอ ไม่ได้บอกว่าเราต้องไปตายแล้วเกิดใหม่ แล้วชีวิตถึงจะดีพอไม่ใช่ การดีไม่พอก็คือต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง นั่นแหละมันเป็นสิ่งแรกที่ทำให้หนูคิดว่าเราพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสไหม ใครจะว่าอะไรเราก็แล้วแต่ทำไมหนูต้องไปคิดกับคำพูดของคนอื่น ทั้งๆ ที่จริงแล้วความรู้สึกที่หนูกำลังเป็นอยู่ คนที่กำลังบูลลี่หนูโยนมาให้หนู หนูหยุดเขาไม่ได้หรอก หนูยังควบคุมตัวเองไม่ได้เลยว่าจะให้คิดอะไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเราอยู่กับเราทำไมเราไม่หยุดตัวเราเอง
เคยคิดจะคืนตำแหน่ง?
ซานิ : คือคิดเลยว่าเอาตำแหน่งแชมป์ไปคืนดีกว่า เพราะทุกคนว่าเราว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้เลย แล้วมันก็ยากมากเลย หนูเคยใช้ชีวิตแบบเล่นในร้านอาหาร เล่นในผับมา แล้วสนุกสนานเฮฮาอยู่กับเพื่อน แล้วทำไมวันนี้เราถึงโดนขนาดนี้ หนูก็เลยบอกพี่หนูอยากคืน หนูแบบไม่เอาแล้ว บอกผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าทำไมต้องไปฟังคนอื่น ทำไมต้องไปอ่าน เราได้มาเพราะว่าอาจจะเป็นเศษเงินของคนอื่นก็ได้ แต่ว่าเศษเงินนั้นมันมหาศาลนะที่คนโหวตมาให้เรา แล้วจะไปยึดติดอะไรกับคนพวกนี้ ก็เลยทำให้เรารย้อนคิดว่า ใช่สิ่งที่เราหยุดจริงๆ ไม่ใช่หยุดคำพูดคนอื่น แต่ต้องหยุดความคิดตัวเอง
เคยคิดไหมว่าตำแหน่งที่เราได้มามันเป็นดาบสองคม?
ซานิ : ใช่มากๆ เพราะว่าหนูเคยต้องอยู่กับคำพูดคนที่ว่าทำไมไม่ทำแบบนี้ล่ะ ทำไมไม่ทำแบบนั้นล่ะ ทำไมพูดจาแบบนี้ ทำไมเป็นเด็กที่กิริยามารยาทห้าวๆ ไม่เหมือนผู้หญิง อันนี้หนูพูดในลักษณะสุภาพแล้วนะ แต่เวลาเราโดนเราโดนหนักกว่านี้ แล้วมันก็เป็นดาบสองคมให้เรารู้สึกว่าเราต้องทำยังไงให้เขาชอบ ทำให้ความเป็นตัวเองหายไปหมดเลย เราอยู่ได้ด้วยพื้นฐานของคนชอบเราแบบไหน เราจะทำแบบนั้น หนูอยู่กับแบบนั้นมาตลอดเป็นปีที่ไม่กล้าทำอะไร พูดอะไรก็ต้องระวัง ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ต้องระวัง
อึดอัดไหม?
ซานิ : อึดอัดมากค่ะถึงขั้นทะเลาะกับพ่อกับแม่ก็มี คือคนที่เข้ามาชอบเราจะมีหลายรูปแบบมาก บางคนก็เป็นคนเรียบร้อยมาก เขาก็แบบว่าชอบเราแหละ แต่อยากให้เราเรียบร้อย เขาก็จะไปพูดกับพ่อกับแม่เราว่าทำไมน้องทำแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนี้ พ่อ แม่ ด้วยความเป็นห่วงเราเขาก็หยิบมาพูดกับเรา ส่วนตัวเรา เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเองทำไมพ่อแม่ไปฟังคนอื่นไม่ฟังเราต่อให้เราเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะ มันก็เลยเป็นปัญหาทำให้ทะเลาะกับพ่อ แม่ องค์ประกอบมันหลายอย่าง ทำให้คิดว่าให้เราตายไปเลยดีไหม
เครียดขนาดนี้ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าเลยไหม?
ซานิ : ตอนนั้นหนูเคยถามตัวเองว่าเป็นโรคจิตหรือยัง เพราะว่ามันเกิดอาการนอนไม่หลับ แล้วเราก็พยายามไปดูอันโน้น อันนี้ แล้วก็อารมณ์ของเราที่มันเปลี่ยนไป เช่น อยู่ดีๆ นึกอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมา แต่มาคิดดูอีกทีว่าจริงๆ แล้วโรคเหล่านี้มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นกับหลายๆ คน แต่สำหรับหนู หนูแค่เป็นเหมือนขั้นเริ่มต้นที่ยังไม่ถึงขั้นของทุกคนที่เขากำลังทรมานกับโรคนี้อยู่ โชคดีที่เราคิดได้เร็วก็เลยไม่ถึงจุดที่เราเป็นโรคซึมเศร้า
แม่อยากรู้ไหมว่าซานิอยากจะคิดสั้น?
แม่ : ก็พอรู้นิดหน่อย เขาจะไม่ค่อยบอกอะไร เวลาเขาเครียดหรือกลุ้มใจอะไรไม่เคยมาปรึกษาแม่เลย เขาก็จะนั่งอยู่เงียบๆ นิ่งๆ จนแม่ถามว่ามีอะไรเปล่า เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกแม่ เขาก็บอกว่าเบื่อ แล้วบอกว่าแม่อย่ารู้เลย แล้วก็ร้องไห้ เราก็โอ๋ กอดกัน เขาก็หายแต่เขาจะไม่พูด จนสุดท้ายเขาทำใจได้หรือสบายใจแล้วเขาถึงมาเล่าให้แม่ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่ก็จะปลอบใจเขาว่าโอเค ยังไงก็ยังมีแม่กับพ่อนะ แม่ก็จะให้กำลังใจเขาแค่นั้น
แล้วเมื่อกี้ที่แม่ฟังซานิเล่ามาทั้งหมดแม่รู้สึกยังไงบ้าง?
แม่ : แม่ไม่เคยคิดวย่าเขาจะฆ่าตัวตาย แต่แม่รู้ว่าเขาเครียด บางทีแม่ออกไปกับงานกับเขา แม่ก็จะเดินตามหลัง อยากฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง มีอยู่วันนึงเขาได้ตำแหน่ง af ใหม่ๆ แม่ได้ยินผู้ชายคนนึงพูดว่า "กูยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นดาราเลย" แต่แม่ก็เก็บ แม่ก็คิดว่าไม่ได้เป็นดาราก็ไม่เป็นไรขอให้ลูกมีงานทำก็พอ แม่ภูมิใจแล้วซานิเป็นคนที่แบบว่าสมัยเรียนเขาเป็นทอมก็เป็นมาแล้ว เสร็จแล้วพอเรียนมหาลัยเขาก็ไปคบที่ไม่ใช่ผู้ชายแท้ ไม่ใช่ผู้หญิงจริง พอแม่ไปเยี่ยมเขาที่มหาลัยเขาก็กลัวแม่ว่า เขาบอกว่าแม่หนูมีความสุขที่สุดเลย หนูมีเพื่อน หนูมีพวกนี้ แม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร แม่ไม่ว่าลูก ไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อน อยากเป็นอะไรเป็น แม่ก็พูดแบบนี้กับเขา
สมัยก่อนเคยเป็นทอม?
ซานิ : ใช่ค่ะ ช่วง ป.6 ม.1 ด้วยโรงเรียนเป็นโรงเรียนหญิงล้วน แล้วมันก็ไม่รู้จะมองใครมันก็มองกันเอง คือเป็นในที่นี้หนูมีความรู้สึกว่าหนูชอบเพื่อนคนนี้จังเลย ทั้งๆ ที่เขาหวานมาก เป็นผู้หญิง แล้วเพื่อนเราที่เป็นทอมแบบชัดเจนเขาบอกว่า แกเป็นทอม พอม.4 หนูก็ไม่ได้เลิกมองผู้หญิงนะแต่มันมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตแล้วเป็นแบบรุ่นพี่เราแล้วเรารู้สึกดีกับคนคนนี้ แต่ว่าไม่ใช่เพศที่เราคุ้นเคย แต่ก็ลองคุยดู ถามว่าคบนานไหม ก็มีทั้งนานและไม่นานถ้าเป็นคนที่รุ่นพี่คบ 6 ปี รักๆ เลิกๆ แต่ถามว่าตอนนี้ก็ได้หมด แต่ถ้าถามว่าจะลงเอยกับเพศไหน ก็คงเป็นเพศชาย แต่หนูยังตอบไม่ได้มันต้องถูกใจจริงๆ
เตรียมพบกับ คุยแซ่บShow เวลาใหม่ มาไวกว่าเดิม เวลา 13.35-14.35 น. ทางช่อง one31 เริ่ม 1 กรกฎาคม 2562 นี้ Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ ซานิ นิภาภรณ์
https://youtu.be/cprDfkjZDGg