กรุงเทพฯ--11 ก.พ.--เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ประกาศวิสัยทัศน์ปี 2551 เดินหน้าก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการที่เป็นเลิศในระดับภูมิภาคภายในปี 2555 พร้อมสานต่อนโยบายการให้บริการด้านการบริหารความมั่งคั่งโดยทีมงานบุคลากรมืออาชีพที่มีประสบการณ์ภายใต้ระบบงานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าและสังคม นำกลยุทธ์ 5 หลัก ด้านการตลาด การขาย การสร้างธุรกิจใหม่ การบริหารกองทุน การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานองค์กรอย่างต่อเนื่องขับเคลื่อนบริษัทรับภาพลักษณ์ใหม่ในรูปแบบของ“มันสมองทางการลงทุนที่คุณวางใจ” มั่นใจเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดแก่นักลงทุนทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์
ดร. พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการที่เป็นเลิศในระดับภูมิภาคภายในปี 2555 และเป็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำ ที่มีอัตราการเติบโตเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปี โดยภายในปี 2555 บริษัทจะมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (NAV) โดยรวมกว่า 450,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 15 หรือมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 250,000 ล้านบาท โดยอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ บริษัทตั้งเป้าที่จะทำรายได้จากการขยายตลาดไปลงทุนในต่างประเทศในสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด และประมาณการเติบโตของรายได้ร้อยละ 35 จาก 463 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 625 ล้านบาทในปี 2551
“เป้าหมายหลักในการขับเคลื่อน บลจ.เอ็มเอฟซี สู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการที่เป็นเลิศในระดับภูมิภาคภายในปี 2555 นั้น กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือ การผลักดันธุรกิจภายในอย่างเข้มแข็ง การสร้างทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการมุ่งขยายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศที่ผ่านคัดสรรแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้จะดำเนินการภายใต้ทีมงานมืออาชีพ” ดร. พิชิตกล่าว
การขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ จะมุ่งเน้นไปยังธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจหลักที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยรูปแบบการทำธุรกิจมีทั้งการเข้าไปร่วมทุนกับและสร้างพันธมิตรกับธุรกิจระดับโลก (Global Partership) ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอยู่แล้ว รวมทั้งขยายธุรกิจทางด้าน Private Equity ซึ่งบริษัทเป็นบลจ. แรกที่เริ่มดำเนินการ และมีประสบการณ์มากว่า 5 ปี รวมทั้งเพิ่มทางเลือกในการลงทุนผ่าน Alternative Investment ที่น่าสนใจทั่วโลก
สำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาดในปีนี้จะเน้นการสร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง โดยการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ในการเป็น “มันสมองทางการลงทุนที่คุณวางใจ” การให้ความสำคัญ กับช่องทางการขายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น Corporate Wealth, Private Wealth , Private Banking ฯลฯ พัฒนาช่องทางการขายให้มีความสะดวกสบาย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เน้นพัฒนาทีมงานด้านการขาย และการตลาดที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และจัดกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่ม
สำหรับกลยุทธ์ด้านการบริหารกองทุน เอ็มเอฟซีเน้นการบริหารจัดการเชิงรุกมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภาวะความผันผวนของตลาดผ่านคณะกรรมการกองทุน (Investment Committee) ประกอบกับข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์ของบริษัท ทำให้การตัดสินใจลงทุนในแต่ละกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก เพื่อสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความสม่ำเสมอ แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยเฉพาะกองทุน Flagship ของบริษัท ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมการลงทุน (Innovation) ด้วยการออกกองทุนใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ครอบคลุมมากที่สุด
ดร. พิชิตกล่าวว่าในปี 2551 บริษัทจะเน้นการพัฒนาระบบงาน และโครงสร้างพื้นฐานองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบฐานข้อมูล และระบบงานทะเบียนกองทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และรายงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ พัฒนาระบบ Wealth Management การพัฒนาและติดตั้งระบบบริหารความเสี่ยงให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งการจัดทำแผนฉุกเฉินทางธุรกิจ
ดร. พิชิตกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของเอ็มเอฟซีในปี 2550 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ ณ 28 ธันวาคม 2550 เท่ากับ 221,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 หรือเท่ากับ 17,901 ล้านบาท จากปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 203,320 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมจำนวน 80 กองทุน รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่ากับ 146,186.59 ล้านบาท (NAV โตร้อยละ 10) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 41 กองทุน ด้วยจำนวนบริษัทสมาชิก 498 แห่ง มูลค่า 51,742.13 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล จำนวน 16 กองทุน มูลค่า 20,928.48 ล้านบาท (NAV โตร้อยละ 19)
สำหรับกองทุนรวมในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็นกองทุนรวมจากต่างประเทศ (Country Fund) 2 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 7,232.03 ล้านบาท กองทุนรวม 51 กองทุน มูลค่า 103,406.98 ล้านบาท กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 15 กองทุน มูลค่า 26,420.08 ล้านบาท และกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF 12 กองทุน มูลค่า 9,127.50 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้ของบริษัท ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 เท่ากับ 463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากรายได้ปี 2549 ซึ่งเท่ากับ 373 ล้านบาท โดยบริษัทมีกำไร 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากรายได้ปี 2549 ซึ่งเท่ากับ 88 ล้านบาท
ดร. พิชิตเปิดเผยว่า ในปีนี้ เอ็มเอฟซีมีแผนออกกองทุนใหม่ประมาณ 20 กองทุน แบ่งเป็น Smart Wealth Solution Family 4 กองทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ประมาณ 2-3 กองทุน กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศประมาณ 9-10 กองทุน กองทุน Private Equity 1 กองทุน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) ประมาณ 2-3 กองทุน
ดร. พิชิตกล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการบริหารจัดการกองทุนเพื่อมุ่งให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดกับนักลงทุนแล้ว ในปี 2551 นี้ บริษัทยังคงสานต่อนโยบายจัดทำกิจกรรมคืนกำไรให้สังคมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การสร้างหอสมุดทางการเงิน ในโรงเรียนธุรกันดาร การมอบทุนการศึกษาและเงินสนับสนุน จากการจัดสรรเงินบริจาคซะกาต โดยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ รวมไปถึงกิจกรรมดีๆ เพื่อเยาวชนไทยที่มีความใฝ่ฝันในการก้าวเข้ามาสู่วงการตลาดเงิน ตลาดทุน ภายใต้โครงการ MFC Talent Award ซึ่งจะจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
อย่างไรก็ตามนอกจากความพร้อมในการบริหารจัดการกองทุนสำหรับนักลงทุนโดยทีมงานมืออาชีพที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญแล้ว บลจ.เอ็มเอฟซียังมีทีมงานที่มีความพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็กต์และโครงการอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
ศริญญา แสนมีมา /ตรึงฤทัย สันโดษ
เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
โทร. 0-2204-8552, 0-2204-8078
โทรสาร 0-2259-9246