กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--แบรนด์ เวลท์
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ออกบทวิเคราะห์มาว่า:
ประเด็นการลงทุนของ SQ คว้าสิทธิ์พัฒนาถ่านหินที่เมียนมาร์ มูลค่ารวม 27,000 ล้านบาท ระยะเวลา 28 ปี โดย SQ จะถือหุ้น 70% ร่วมกับ Golden Lake Co., Ltd 30% ผู้บริหารคาดจะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี 2563 และรับรู้เต็มในปี 2564 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อปี 964 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% และช่วยเพิ่มกำไร 67ล้านบาท ต่อปีหรือเพิ่มขึ้น 21% และจะทำให้มูลค่าSQ เพิ่มขึ้นอีก 0.60 บาทต่อหุ้น จาก 3.20 เป็น 3.80 บาท แต่เรายังคงประมาณการรอความชัดเจนของโครงการ และลูกค้าก่อน แนะนำ TRADING BUY ช่วงอ่อนตัว ประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC=8%) เท่ากับ 3.2 บาท
คว้าสิทธ์พัฒนาเหมืองถ่านหินเมียนมาร์ ซึ่ง SQ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ (11 ก.ค.62) ได้สิทธิพัฒนาโครงการเหมืองถ่านหิน Mai Khot Coal Mine ที่รัฐฉาน ในเมียนมาร์ โดยจะร่วมทุนกับ Golden Lake Co., Ltd หรือ (GL) ซึ่ง SQ ถือหุ้น 70% ส่วน GL ถือ30% คาดจะมีปริมาณถ่านหินประเภทซับบิทูมินัส และลิกไนต์ ประมาณ 100 ล้านตัน โดยในเฟสแรกSQ ประเมินจะขายถ่านหินประมาณ 3 แสนตันต่อปี ที่ราคารวมค่าขนส่งประมาณ3,000 บาทต่อตัน ระยะเวลา 28 ปี ส่วนใหญ่จะส่งขายให้ไทย รวมเป็นมูลค่า 22,000 ล้านบาท และยังมีรายได้จากการทำเหมืองอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มี Backlog ในการทำเหมืองถ่านหินเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 30,310 ล้านบาท เป็น 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับเฟสต่อไปจะพัฒนาสร้างเป็นโรงไฟฟ้าโดยปริมาณสำรองถ่านหินสามารถรองรับโรงไฟฟ้าได้ขนาด 600MW
ทั้งนี้จะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี2563 ตั้งเป้า Net Margin มากกว่า 10% การลงทุนในเฟสแรก SQ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่มากนัก โดย SQ ประเมินจะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี 2563 และมี Net Margin มากกว่า 10% ดังนั้นจากตัวเลข 27,000 ล้านบาท ระยะ 28 ปี จะรับรู้รายได้ต่อปีประมาณ 964 ล้านบาท และภายใต้เงื่อนไข Net Margin 10% จะมีกำไรสุทธิ 96 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรายังไม่รวมในประมาณการ รอความชัดเจนของลูกค้าก่อน ซึ่งจะเป็นอัพไซค์ต่อประมาณการของเราในอนาคตคือเพิ่มกำไร11% ในปี 2563 และ 21%ในปี 2564
สำหรับโครงการเหมืองถ่านหิน Mai Khot จะช่วยเพิ่มมูลค่า0.70 บาทต่อหุ้น โครงการเหมืองถ่านหิน Mai Khot จะช่วยเพิ่มกำไร 67 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.058บาท บนฐาน SQ ซื้อขาย P/E ปี 2563 ประมาณ 11.5เท่า จะได้มูลค่าพื้นฐานเพิ่มอีก 0.6 บาท ซึ่งใกล้เคียงวิธี DCF บนฐาน WACC เท่ากับ 9% ดังนั้นถ้ารวมโครงการนี้ราคาเป้าหมายจะเพิ่มจาก 3.20 บาท เป็น 3.80 บาท แต่เรายังรอความชัดเจนของลูกค้าก่อน เราจึงยังคงเป้าหมายที่ 3.20 บาท
บล. Asia Wealth ออกบทวิเคราะห์มาว่า:
- SQ ลงนามสัญญาจัดตั้งบริษัทฯใหม่ (SQ ถือ 70%) เพื่อรับสิทธิทำเหมืองถ่านหิน ที่ประเทศเมียนมาร์คาดเหมืองดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้บริษัทร่วมทุนประมาณ 2.7หมื่นล้านบาท ในอายุสัมปทาน 28 ปี ตั้งเป้าเริ่มส่งออกถ่านหินได้กลางปี 2563
- Backlog เฉพาะงานรับเหมาก่อสร้างเพิ่มขึ้นจาก 3.0 หมื่นล้านบาทเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท เพียงพอรับรู้รายได้ประมาณ 7 ปี
- เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 ลดลง 19% QoQ เนื่องจาก (1)รายได้ที่ลดลงเนื่องจากเข้าฤดูฝน และมีการปรับแนวสายพานใหม่ แต่คาดรายได้จะถูกชดเชยบางส่วนจากการเพิ่ม U-rateของแม่เมาะ 8 และ (2)มีการบันทึกค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในไตรมาส 2/62
- เราแนะนำซื้อ ปรับราคาเป้าหมายจาก 3.20 บาทเป็น 5.10 บาท โดยเพิ่มมูลค่าธุรกิจรับเหมา จาก 3.20 บาทเป็น 3.80บาท (อิง PER 14เท่า) และเพิ่มมูลค่าธุรกิจสัมปทานเหมืองถ่านหินอีก 1.30บาท (อิง วิธี DCF)
ผันตัวสู่ธุรกิจรับสัมปทานเหมืองถ่านหินในเมียนมาร์ เพิ่มมูลค่าหุ้น โดย SQ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับบริษัท Golden Lake Co., Ltd (GL) เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมค้าใหม่ โดย SQ ถือหุ้น70% ในกิจการนี้ และ บจ.Golden Lake ประเทศเมียนมาร์ ถือหุ้น 30% เพื่อรับสิทธิในการทำเหมืองถ่านหินในเมืองก๊ก (Mai Khot Mine) ณ รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ อายุสัมปทาน 28 ปี โดยเหมืองดังกล่าวมีปริมาณถ่านหินประมาณ 110ล้านตัน ซึ่งเพียงพอในการใช้ผลิตโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ คาดโครงการดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้บริษัทร่วมทุนประมาณ 2.7 หมื่นล้านตลอดอายุสัมปทาน โดยแบ่งเป็นงานขายถ่านหินประมาณ 2.2 หมื่น ล้านบาท และงานรับเหมาขุดขนถ่านหินอีก 5 พันล้านบาท หนุน Backlog งานรับเหมาก่อสร้างจากปัจจุบัน 3.0 หมื่นล้านบาท สู่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาท เพียงพอรับรู้รายได้ราว 7 ปี ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้างบลงทุนที่ 300 ล้านบาท
ธุรกิจถ่านหินใหม่คาดจะเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิให้กับSQ ในระยะยาว มีการขุดสำรวจ ถ่านหินออกมาขายในเฟสที่1 จะมีกำลังผลิตประมาณ 3 แสนตันต่อปี ถ่านหินเหมืองดังกล่าวเป็นซับบิทูมินัส ค่าความร้อนเฉลี่ย4,200 kcal/kg จำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ของไทยในภาคเหนือ โดยคาดว่ากิจการสัมปทานเหมืองถ่านหินในเฟส1 นี้จะมีรายได้และกำไรสุทธิราว 540 ล้านบาท และ66ล้านบาทต่อปีตามลำดับ ตามสัดส่วนการถือหุ้น70% คาดจะเริ่มรับรู้รายได้และกำไรสุทธิตั้งแต่กลางปี2563 และรับรู้เต็มปีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป เราคาดการณ์ธุรกิจใหม่นี้ด้วยวิธี DCF ในขณะที่เฟส2 บริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ประมาณ 20-30 เมกะวัตต์ แต่ต้องติดต่อขายกับ กฟผ. หรือรัฐบาลเมียนมาร์ก่อน ส่วนเฟส3 อาจสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ถึง 600 เมกะวัตต์ เนื่องจากปริมาณถ่านหินระยะยาวมีเพียงพอ อย่างไรก็ตามเราคำนวณมูลค่าหุ้นในเบื้องต้นจากการผลิตในเฟสที่ 1 เท่านั้น
บล. Asia Wealth แนะนำซื้อ ปรับราคาเป้าหมายจากเดิม 3.20บาท เป็น 5.10 บาท เราแนะนำซื้อ SQ แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก3.20 สู่ 5.10 บาทตามวิธี Sum-of-the-part หนุนจาก (1)มูลค่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมี่เพิ่มขึ้นตามBacklog ที่เพิ่มขึ้นจาก 3.0 หมื่นล้านบาท เป็น3.5 หมื่นล้านบาท มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น0.60บาท ทำให้มูลค่าหุ้นในส่วนธุรกิจนี้เพิ่มจาก 3.20 บาทเป็น 3.80 บาท อิงค่า PER เดิมที่ 14เท่า และ (2) มูลค่าจากธุรกิจถ่านหิน จากประเทศเมียนมาร์ ราว 1.30 บาทต่อหุ้นอิงวิธี Discount Cash Flow (DCF) โดยคาดปริมาณการขายถ่ายหินอย่างอนุรักษ์นิยมที่ 3แสนตันต่อปีตลอดอายุสัมปทาน 28 ปี
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 ลดลง QoQ เราประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 74 ล้านบาท ลดลง 19% QoQ เนื่องจาก (1) ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาส 1 ประกอบกับมีการปิดเพื่อปรับแนวสายพาน ใหม่ในเหมืองหงสาจำนวน 7 วันอย่างไรก็ตาม คาดการเพิ่มอัตราการทำงาน (U-rate) ที่เหมืองแม่เมาะ8 จาก 80-85% เป็น 90-95% จะช่วยชดเชยรายได้ที่หายไปได้บางส่วน และ (2) บริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในไตรมาสนี้ประมาณ 8 ล้านบาท