กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
บล.ทิสโก้คาดหุ้นไทยระยะสั้นเข้าสู่ช่วงอิ่มตัว มองเริ่มพักฐานไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ค. หลังรับรู้ข่าว Fed ขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 2 อาจโตต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อน และไตรมาสก่อน แนะเลือกลงทุนหุ้นมีประเด็นบวกระยะสั้น งบออกมาดี และจ่ายปันผลระหว่างกาล
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ประเมินดัชนีหุ้นไทยในระยะสั้นจะเข้าสู่ช่วงอิ่มตัว และแกว่งตัวพักฐานไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยมีกรอบแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,690 - 1,715 จุด สาเหตุเพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/2562 อาจเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า และลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อน ประกอบกับตลาดหุ้นทั่วโลกรับรู้ข่าวการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไปมากแล้ว และเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งหลังธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเกณฑ์มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทให้เข้มงวดมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการรวบรวมประมาณการกำไรไตรมาส 2/2562 ของตลาดโดยรวมทั้งสิ้น 133 ตัว (Bloomberg Consensus) ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมคิดเป็น 79% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ก.ค.) คาดว่าบริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ปรับลง และการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ จึงแนะนำให้นักลงทุนความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น และเลือกลงทุนเป็นรายตัว
"การลงทุนในเชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้แนะนำหาจังหวะตั้งรับช่วงอ่อนตัวบริเวณแนวรับสำคัญ โดยเน้นลงทุนหุ้นที่มี 3 คุณสมบัติครบ คือ 1.มีประเด็นบวกในระยะสั้น 2.คาดงบออกมาดี และ 3.มีปันผลจ่ายระหว่างกาล โดยธีมการลงทุนหลักช่วงนี้ ยังชอบหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งในแง่ของการบริโภคและการลงทุน แต่อยากให้นักลงทุนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่คาดว่างบจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีปันผลจ่ายระหว่างกาล" นายอภิชาติกล่าว
สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำลงทุนในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า คือ HMPRO, M, AMATA, ROJNA, EASTW, CK, SEAFCO, PYLON และ TASCO นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นจ่ายปันผลสูง โดยมีอัตราการจ่ายปันผลมากกว่า 5% ต่อปี และต้องการรับผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดนี้ บล.ทิสโก้แนะนำลงทุนในหุ้น ANAN, ASP, DIF, HANA, INTUCH, JASIF, KAMART, KKP, LH, LPN, MC, QH, ROJNA, SIRI, SPALI, TKS, TPIPP และ TVO
นายอภิชาติ กล่าวว่า สำหรับการประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาสที่ 2/2562 คาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีกำไรรวมตั้งแต่ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป จะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เช่น กลุ่มธนาคารจะมีกำไรลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 6% QoQ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีกำไรลดลง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (CONMAT) มีกำไรลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO) มีกำไรลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขนาดกลาง-เล็กที่ฐานกำไรรวมต่ำกว่าระดับ 1 หมื่นล้านบาท คือ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ (TRANS) มีกำไรเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) มีกำไรเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR) มีกำไรเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และกลุ่มธุรกิจการเกษตร (AGRI) มีกำไรเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน