กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD โชว์ผลงานธุรกิจ 'รับฝากและบริหารสินค้าอันตราย' 2562 ครึ่งปีแรก
แรงทะลุเป้า รับปริมาณสินค้าอันตรายที่ผ่านเข้าออกท่าเรือแหลมฉบังพุ่งแรง คาดแนวโน้มครึ่งปีหลังยังดีต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ (JCS) มีอัตราเช่าพื้นที่เพิ่มเป็น 70% ลุ้นปิดดีลลูกค้ารายใหญ่ดันพื้นที่เช่าเต็ม 100% ด้านผู้บริหารปลื้มศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ได้คะแนนความปลอดภัยสูงสุด หลังกรมโรงงานอุตสาหกรรมส่งที่ปรึกษาลุยตรวจมาตรฐานการเก็บรักษาวัตถุอันตรายเพื่อยกระดับสถานที่จัดเก็บวัตถุอันตราย
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ
โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ 'รับฝากและบริหารสินค้าอันตราย' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งแรกปี 62 มีอัตราเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับปริมาณสินค้าอันตรายที่ผ่านเข้า-ออกพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ที่อยู่ในระดับที่ดี โดยมีปริมาณตู้เฉลี่ยอยู่ที่ 10,910 ตู้ต่อเดือน
ปัจจัยที่ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายมีผลการดำเนินงานทำสถิติสูงสุดมาจาก (1) ปริมาณสินค้าอันตรายผ่านเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบังที่เพิ่มขึ้น (2) ผู้ประกอบการธุรกิจโรงกลั่นและจำหน่ายผลิตปิโตรเลียมปรับปรุงสายการผลิต ส่งผลให้เกิดการเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้าอันตรายที่ใช้เป็นวัตถุดิบเป็นระยะเวลานานขึ้น และ (3) การขยายระยะเวลาการจัดเก็บสินค้านานขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการสารเคมีอันตรายที่ผลิตซัพพลายเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพื่อรอการส่งออก จากปกติมีระยะเวลาเช่าพื้นที่เก็บสินค้าเฉลี่ย 3 วัน เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 7-10 วัน
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายช่วงครึ่งปีแรกถือว่าดีมาก โดยปริมาณงานเพิ่มขึ้นทั้งในด้านบริการรับฝากสินค้าและค่าขนย้ายสินค้าที่ผ่านเข้า-ออกในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งโดยปกติการให้บริการเช่าพื้นที่พื้นที่จัดเก็บสินค้าอันตรายจะคิดเป็นอัตราก้าวหน้า คือยิ่งจัดเก็บนาน ค่าเช่าจะยิ่งแพงขึ้น และประเมินจากภาพรวมดังกล่าว จะยังคงมีแรงส่งที่ดีอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้" นายชวนินทร์ กล่าว
โดยแนวโน้มการดำเนินธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มั่นใจว่าจะยังคงมีความต้องการใช้พื้นที่และบริการขนย้ายอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายมีแนวโน้มขยายโรงงานเข้ามาในแถบนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเพิ่มขึ้น หลังจากปัจจุบันพื้นที่ในโซนบางปู กระทุ่มแบน และสุขสวัสดิ์ มีข้อจำกัดด้านการขยายโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากติดข้อกำหนดด้านผังเมืองที่เปลี่ยนแปลงสีผังใหม่ ขณะเดียวกันการขอใบอนุญาตเพื่อขยายการลงทุนอุตสาหกรรมถังเก็บสารเคมีอันตราย (Tank Farm) ในพื้นที่ใกล้เคียงแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มทำได้ยากขึ้น รวมถึงการขนส่งสารเคมีอันตรายที่มีความเข้มงวดด้านความปลอดภัยสูง
ขณะที่การดำเนินธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์หรือ JWD Chemical Supply Chain (JCS) ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศอย่างครบวงจร ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี อาทิ แบ่งบรรจุภัณฑ์ บรรจุหีบห่อ
คัดแยกประเภท กระจายสินค้า ฯลฯ มีพื้นที่ให้บริการรวม 9,000 ตารางเมตร ก็มีผลการดำเนินงานที่ดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการคือกลุ่มผู้ประกอบการเทรดดิ้ง (ซื้อมาขายไป) สินค้าเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะบริษัทเทรดดิ้งขนาดใหญ่จากต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 มีอัตราการใช้พื้นที่ 70% และอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตสารเคมีชั้นนำอีก 1 ราย ซึ่งหากสามารถปิดการเจรจาได้จะทำให้มีอัตราการใช้พื้นที่เต็ม 100%
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวอีกว่า จากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการจัดทำมาตรฐานการเก็บรักษาวัตถุอันตรายเพื่อยกระดับสถานที่จัดเก็บวัตถุอันตราย โดยจัดจ้างที่ปรึกษาโครงการดังกล่าวให้ดำเนินการสำรวจสถานประกอบการจัดเก็บวัตถุดิบอันตราย 100 แห่ง ปรากฏว่าในเบื้องต้น ศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ของ JWD เป็น 1 ใน 5 สถานประกอบการฯ ที่ผ่านการตรวจสอบ โดยไม่มีจุดที่ปฏิบัติต่ำกว่ากฎหมายกำหนด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับคะแนนการประเมินสูงสุด (เต็ม 100%) เป็นอันดับ 1 จากจำนวน 5 สถานประกอบการฯ ที่ผ่านการตรวจสอบในครั้งนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับคะแนนสูงสุด เนื่องจากมีระบบความปลอดภัยและจัดการเหตุฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน โดยในอดีตบริษัทฯ ได้ก่อสร้าง ปรับปรุง และติดตั้งระบบความปลอดภัยในโครงการดังกล่าว โดยอ้างอิงมาตรฐานจากยุโรป ขณะเดียวกันก็มีการติดตั้งระบบที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนดในบางจุด ได้แก่ การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟเพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือน (Beam Detector) และอุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟที่สั่งการปิดประตูอัตโนมัติ (Flame Detector) ภายในห้องเก็บวัตถุอันตราย เทียบกับมาตรฐานที่กำหนดให้ติดตั้งอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งก็เพียงพอ และการติดตั้งกำแพงกันไฟทุกห้องสูงเหนือหลังคา 1 เมตร จากมาตรฐานกำหนดไว้ที่ 30-50 เซนติเมตร ซึ่งการผ่านมาตรฐานการเก็บรักษาวัตถุอันตรายเพื่อยกระดับสถานที่จัดเก็บวัตถุอันตรายครั้งนี้จะเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการมากยิ่งขึ้น