กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--เจแอลแอล
การลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในครึ่งแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 19,200 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ราวกึ่งหนึ่งมาจากการซื้อขายรายการใหญ่สองรายการในกรุงเทพฯ ได้แก่ การขายอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส และที่ดินขนาด 11 ไร่ใกล้สถานีบีทีเอสหมอชิต ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล
ข้อมูลดังกล่าวได้รับรวบรวมโดยศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ซึ่งครอบคลุมธุรกรรมการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยบริษัทและกองทุน ทั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
การลงทุนซื้อขายที่มีมูลค่าเกินหนึ่งพันล้านบาทในครึ่งแรกของปีนี้ มีเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้นสี่รายการ โดยรายการที่มีมูลค่าสูงสุดคือ การขายซันทาวเวอร์ส คอมเพล็กซ์อาคารสำนักงานริมถนนวิภาวดีรังสิตโดยบมจ.สิงห์ เอสเตท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) ด้วยมูลค่า 5.7 พันล้านบาท
รายการลงทุนมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสอง คือการซื้อที่สองแปลงรวมมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาทโดย บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และบริษัทในเครือ โดยในเดือนเมษายน ซิโน-ไทยได้ซื้อที่ขนาด 11 ไร่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิตจาก บมจ.ยูซิตี้ ในราคา 4.3 พันล้านบาทเพื่อพัฒนาคอมเพล็กซ์อาคารสำนักงาน ส่วนในเดือนมิถุนายน บริษัทลูกของซิโน-ไทย คือเอสที พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ ได้เข้าซื้อคอมมูนิตี้มอลล์ซัมเมอร์ฮิลล์และอาคารสำนักงานซัมเมอร์ฮับ ออฟฟิศ จาก บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น ด้วยมูลค่า 957 ล้านบาท
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า "การลงทุนของซิโน-ไทยและบริษัทในเครือในปีนี้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง จากที่ได้เว้นช่วงไปเกือบสองทศวรรษหลังวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง โดยมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายอื่นๆ ที่เข้ามาลงทุนเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ อาทิ บริษัทแสงฟ้าก่อสร้าง ได้ร่วมลงทุนกับ บมจ.หลักทรัพย์ ไอร่า และ บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ในโครงการพัฒนาอาคารสำนักงานสปริงทาวเวอร์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสราชเทวี และไทย โอบายาชิได้ซื้อที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนานาในราคาตารางวาละ 2.6 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติราคาที่ดินต่อตารางวาแพงที่สุดในปี 2560 โดยขณะนี้ กำลังใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคาร O-NES Tower ซึ่งเป็นการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่โครงการแรกของไทย โอบายาชินับตั้งแต่เคยลงทุนก่อสร้างอาคารนันทวันใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสราชดำริในปี 2534"
ส่วนการลงทุนซื้อขายที่ดินที่มีราคาต่อตารางวาสูงสุดในครึ่งแรกของปีนี้ เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ โดย บมจ.แชงกรี-ลา โฮเต็ล ซึ่งซื้อที่ดินขนาด 658 ตารางวาในย่านทองหล่อมูลค่าประมาณ 1.9 พันล้านบาท หรือราว 2.86 ล้านบาทต่อตารางวา
นางสุพินท์กล่าวว่า "ที่ดินที่แชงกรี-ลา โฮเต็ลซื้อไปในปีนี้ นับว่ามีราคาต่อตารางวาที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการโรงแรม แต่ยังไม่ทำลายสถิติราคาที่ดินขนาด 880 ตารางวาบนถนนหลังสวนที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนเจ้าของที่ดินขายไปในราคาตารางวาละ 3.1 ล้านบาทในปี 2561"
"เชื่อว่าราคาซื้อขายที่สูง ประกอบกับการที่ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2563 จะกระตุ้นให้เจ้าของที่ดินในทำเลชั้นดีในกรุงเทพฯ นำที่ดินออกมาเสนอขายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเข้มแข็งทางการเงิน มีโอกาสมากขึ้นในการซื้อที่ดินในทำเลชั้นดีเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ในที่นี้หมายรวมถึงการซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ไม่สามารถสร้างรายได้สมกับศักยภาพที่เพิ่มสูงขึ้นของแปลงที่ดิน สำหรับนำไปปรับปรุงหรือรื้อถอนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ทั้งนี้ เชื่อว่า บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีวิสัยทัศน์จะสามารถพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังคงให้ผลตอบแทนในระดับที่พอเหมาะได้แม้ต้นทุนที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นมาก"
สำหรับในครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ๆ จะยังคงเป็นการซื้อขายที่ดินและอาคารในกรุงเทพฯ แต่ขณะเดียวกัน คาดว่า ธุรกรรมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม อาทิ โรงงาน และโกดังสินค้า/โลจิสติกส์ จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC เนื่องจากมีบริษัทหลายรายเริ่มย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น จากผลพวงของสงครามกำแพงภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมอร์สในประเทศไทยที่กระตุ้นให้มีความต้องการใช้อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น
เกี่ยวกับ JLL
JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจบริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และบริหารการลงทุน โดยในปีที่ผ่านมา มีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศและมีพนักงานทั่วโลกรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 91,000 คน JLL เป็นชื่อแบรนด์และเครื่องหมายการค้าของบริษัทโจนส์ แลง ลาซาลล์ (Jones Lang LaSalle Incorporated)
สำหรับในประเทศไทย JLL เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพนักงาน 1,600 คน มีอสังหาริมทรัพย์และสถานประกอบการภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 5 ล้านตารางเมตร JLL ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะรางวัลระดับห้าดาวในสาขาที่ปรึกษาและตัวแทนซื้อขายให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย จากการประกาศรางวัล International Property Awards Asia Pacific 2019/2020 นอกจากนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นของคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์โดยยูโรมันนีประจำปี 2561 JLL ได้รับการโหวตให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 8 และยังได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในสาขาบริการตัวแทนซื้อขายให้เช่า บริการงานวิจัย และบริการประเมินราคาทรัพย์สิน ต้องการข้อมูลเพิ่ม โปรดไปที่ www.jll.co.th