กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--เจตาแบค
บมจ. เจตาแบค เผยเจตาแบค เวียดนาม รับงานผลิตบอยเลอร์ให้ลูกค้ารายใหญ่ 3 รายมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท มั่นใจช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทในปีนี้ เล็งสร้างโรงงานผลิตในเวียดนามเพิ่ม จากศักยภาพแรงงานและต้นทุนผลิตที่เหมาะสม พร้อมปรับกลยุทธ์การจำหน่ายเพิ่มยอดขายในอนาคต
นายสุชาติ มงคลอารีย์พงษ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เจตาแบค จำกัด(มหาชน)(GTB) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องกำเนิดไอน้ำ(Steam Boiler) ระบบเผาไหม้(Combustion Engineering) งานวิศวกรรมพลังงานความร้อน (Thermal Energy Engineering) อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และงานบริการเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดไอน้ำ รวมทั้งเครื่องกำเนิดไอน้ำที่ใช้กับโรงไฟฟ้าชีวมวล เปิดเผยว่า บริษัท เจตาแบค เวียดนาม จำกัด(GTV) ได้รับคำสั่งซื้อบอยเลอร์มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท จากลูกค้ารายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ บริษัท Vinfast ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ VINGROUP ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของเวียดนาม สั่งซื้อHot Water Boiler(หม้อต้มน้ำร้อน) CPV Food Company Limited ที่ได้ลงนามในสัญญาสั่งซื้อเครื่องกำเนิดไอน้ำและเครื่องทำน้ำมันร้อน ขณะที่บริษัท Nestle สั่งซื้อเครื่องกำเนิดไอน้ำเพื่อใช้ในโรงงานเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการที่ เจตาแบค เวียดนาม หรือ GTV ได้รับงานโครงการใหญ่หลายงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีนี้น่าจะมีการรับรู้รายได้สูงขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาสร้างโรงงานผลิตบอยเลอร์อีกแห่งในเวียดนามเพื่อขยายกำลังการผลิตและจำหน่าย โดยในประเทศเวียดนามถือว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวอย่างมากจากการลงทุนจากประเทศต่างๆ อีกทั้งมีแรงงานที่มีฝีมือและค่าแรงที่เหมาะสมต่อการลงทุนของบริษัท
ขณะที่บริษัทฯมีแผนที่จะปรับรูปแบบของการจำหน่ายในหลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซียและมาเลเซียตามโมเดลของประเทศเวียดนาม จากนั้นจะทยอยปรับรูปแบบการจำหน่ายในประเทศอื่นๆ ต่อไป โดยการมีบริษัทย่อยในต่างประเทศนั้นจะทำให้มีความสามารถในการให้บริการ การหาลูกค้า และการทำการตลาดได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายในอนาคต
นายสุชาติ กล่าวว่า ตลาดอาเซียนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี รวมถึงในประเทศ ไทย เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมยังมีความจำเป็นต้องใช้ Steam Boiler โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งบริษัทพยายามเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต พร้อมทั้งขยายโอกาสในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุดแข็งเรื่องการบริการหลังการขายของบริษัทที่ดำเนินการมากว่า 35 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยดีเสมอมา
สำหรับการดำเนินงานในปี 2562 นั้น บริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากบริษัทมียอดคำสั่งผลิตใหม่ๆทั้งในประเทศ และบริษัทย่อยในต่างประเทศเข้ามา โดยยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ในการขยายตลาดเพื่อรับงานในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตได้มากขึ้น