กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--อินทัช โฮลดิ้งส์
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ประกาศผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2562 มีกำไรสุทธิ 5,845 ล้านบาท เน้นการเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจที่ลงทุนไปแล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมทั้งหาธุรกิจลงทุนใหม่ในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงที่รองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G ในอนาคต พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น
นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ในยุค Digital Disruption ทุกๆ องค์กรต่างต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนั้น อินทัชในฐานะบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เน้นการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยีจึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที โดยยังคงเฟ้นหานวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และบริการของธุรกิจในกลุ่มบริษัท คือ เอไอเอส และไทยคม รวมทั้งพัฒนาธุรกิจใหม่ที่รองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ อินทัชยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย และประกาศจ่ายเงินปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 4 กันยายน 2562 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 สิงหาคม 2562"
เอไอเอส มุ่งสู่ดิจิทัลไลฟ์ พร้อมพัฒนาโครงข่าย 4G และเตรียมความพร้อมสู่ 5G
จากอัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 เอไอเอสมีลูกค้าสุทธิทั้งสิ้น 41.5 ล้านราย โดยลูกค้าที่ใช้งาน 4G ยังคงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 66 ของฐานลูกค้ารวม สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเอไอเอส มีลูกค้าไฟเบอร์เพิ่มขึ้น 64,500 ราย จากการให้บริการแพ็กเกจคอนเวอร์เจนซ์ Fixed-Mobile-Content (FMC) รวมบริการที่ครอบคลุมการใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกและความต่อเนื่องให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และคอนเทนต์เข้าไว้ด้วยกัน รวมทั้งยังได้ขยายบริการเข้าสู่ตลาด eSports เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาดเกม ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 855,000 ราย
ในส่วนของธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส หลังจากเข้าซื้อ CSL หรือ ซีเอส ล็อกซอินโฟ ที่มีความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ให้บริการ One Stop ICT Service แบบครบวงจร ทำให้การให้บริการลูกค้าองค์กรในด้าน Data Center และ Cloud ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เอไอเอสยังเป็นพันธมิตรกับ China Unicom ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้บริการแก่บริษัทจากประเทศจีนที่มีสาขาในประเทศไทยได้มากขึ้น สำหรับตลาดลูกค้าทั่วไป ในไตรมาส 1/2562 เอไอเอสได้จัดตั้งบริษัทโบรกเกอร์ประกันภัย เพื่อเป็นช่องทางขายประกันภัยออนไลน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคดิจิทัลให้สามารถเลือกซื้อประกันได้ด้วยตัวเองผ่านออนไลน์ทุกที่ทุกเวลา
สำหรับการพัฒนาคุณภาพโครงข่าย 4G และขยายธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เอไอเอสตั้งงบลงทุนไว้ที่ 20,000 – 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อร่วมกันศึกษา วิจัย ทดสอบ และพัฒนาขีดความสามารถของ 5G เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการให้บริการ 5G ในอนาคต
ไทยคม เพิ่มอัตราการใช้งานดาวเทียมและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่
ในครึ่งปีแรก ไทยคมมีผลขาดทุนสุทธิที่ 168 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของรายได้ที่ร้อยละ 16 โดยเป็นการลดลงจากธุรกิจดาวเทียมเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดราคาให้กับลูกค้าในประเทศไทย และการลดระดับการใช้งานของลูกค้าต่างประเทศ ส่งผลให้อัตราการให้บริการดาวเทียมแบบทั่วไป (Conventional) 4 ดวง ได้แก่ ดาวเทียมไทยคม 5,6,7 และ 8 อยู่ที่ร้อยละ 53 สำหรับดาวเทียมบรอดแบนด์ (Broadband) 1 ดวง คือ ไทยคม 4 มีอัตราการให้บริการอยู่ที่ร้อยละ 24
ดังนั้น ไทยคมจึงมีแผนเพิ่มอัตราการใช้งานดาวเทียมที่มีอยู่ โดยหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติมในแถบแอฟริกา ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเอเชียใต้ รวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับดาวเทียม โดยให้บริการแพลตฟอร์ม "นาวา" ด้วยการติดตั้งบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านดาวเทียมไทยคมระหว่างเรือและชายฝั่ง ปัจจุบัน นาวา ให้บริการกับลูกค้ากลุ่ม Oil and Gas ในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ โดยมีเรือที่ให้บริการแล้ว รวมทั้งเรือที่รอการติดตั้งระบบรวม 104 ลำ นอกจากนี้ ไทยคมยังให้บริการด้านที่ปรึกษาและออกแบบระบบสื่อสารดาวเทียมสำหรับผู้ประกอบการภาคธุรกิจและภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่รัฐบาลบังคลาเทศ และมีแผนขยายบริการไปยังประเทศอื่นๆ
อินเว้นท์ มุ่งลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G
ในช่วงครึ่งปีแรก อินเว้นท์ (InVent) ขายหุ้นของบริษัท ดิจิโอ จำกัด ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ร้อยละ 30 หรือคิดเป็น IRR ที่ร้อยละ 13.5 ภายในระยะเวลาการลงทุน 2 ปี ทำให้มูลค่าเงินลงทุนของอินทัชภายใต้โครงการอินเว้นท์ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 1,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 792 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง อินทัชยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G เช่น Artificial Intelligence (AI) Internet of Things (IoT) Blockchain Data Analysis เป็นต้น ภายใต้งบลงทุน 200 ล้านบาทต่อปี เพื่อรองรับการใช้งาน 5G ในอนาคต รวมทั้งนำนวัตกรรมไปต่อยอดให้กับสินค้าและบริการของบริษัทในเครือเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าในกลุ่มอินทัช
ไฮ ช็อปปิ้ง ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ไฮ ช็อปปิ้งมียอดขายเฉลี่ยต่อวันที่ 2.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนการสั่งซื้อสินค้าและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าในแพลตฟอร์มที่หลากหลายมากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อขยายฐานการเข้าถึงผู้ชมให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาคุณภาพเนื้อหารายการ และสรรหาสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง เช่น สินค้าแฟชั่น สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2562 ไฮ ช็อปปิ้ง ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของอินทัชในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้มีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และสร้างนวัตกรรมภายในองค์กรเพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี