ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัวทางนโยบายเศรษฐกิจของจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 13, 2019 09:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ส.ค.--สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัวทางนโยบายเศรษฐกิจของจีนรับมือสงครามการค้าส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เสนอให้มียุทธศาสตร์ทางการค้าเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว 15.00 น. 12 ส.ค. พ.ศ. 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฎิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัว (U-turn) ของนโยบายเศรษฐกิจของจีนจะส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญทั้งบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยและตลาดการเงินทั่วโลก การอ่อนตัวของเงินหยวนสะท้อนการชะลอตัวของการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงของจีนในระดับหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นการบริหารจัดการให้เงินหยวนอ่อนค่าลง และ ธนาคารกลางของจีนได้ทะยอยปรับลดค่าเงินหยวนลงมาตามลำดับอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเงินทุนไหลออกจากประเทศจีนหรือการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการกลับตัว (U-turn) ทางนโยบายเศรษฐกิจจีนเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสงครามทางการค้าจีนสหรัฐฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2549-2556 ธนาคารกลางของจีนได้ปรับค่าเงินหยวนแข็งค่ามาโดยตลอด การปรับค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงถึง 3 ครั้ง ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยล่าสุดมีการปรับค่า midpoint reference มาอยู่ที่ 7.0211 หยวนต่อดอลลาร์ การเจตนาให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการค้าสามารถมองได้ว่า จีนกำลังบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) เพื่อตอบโต้การขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เงินหยวนอ่อนค่าลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเอเชียที่มีระดับการเปิดประเทศสูงและพึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางลบเพิ่มเติมต่อภาคส่งออก ภาคการท่องเที่ยวและภาคการลงทุนโดยเฉพาะการไหลออกมาลงทุนของกลุ่มทุนข้ามชาติจีนจะลดลง การลงทุนของกลุ่มทุนจีนในอีอีซีอาจไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ จีนมีความจำเป็นในการรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ต่ำกว่าเป้าหมายมากเกินไป การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การเติบโตของสหรัฐอเมริกามีผลต่อเศรษฐกิจโลกประมาณ 17-20% ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะมีสาเหตุจากผลกระทบจากสงครามการค้าและมีต้นตอมาจากประเทศสหรัฐฯและจีน ข้อจำกัดของการดำเนินนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศของจีนมีข้อจำกัดจากปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในระบบสถาบันการเงิน พร้อมกับ การขยายการลงทุนในโครงการต่างๆจำนวนมากของรัฐวิสาหกิจในช่วงที่ผ่านมาและมีการลงทุนส่วนเกินอยู่จำนวนมาก การกดให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเพื่อสนับสนุนการส่งออก คือ ทางออกของจีน แต่จะสร้างปัญหาให้กับหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้า และ กระตุ้นให้หลายประเทศแข่งขันกันลดค่าเงิน สิ่งนี้จะกดดันให้การขยายตัวของการค้าโลกลดลงอีก เงินหยวนอ่อนค่าจะทำให้เงินทุนจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายไปถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ ภาวะดังกล่าวจะกดดันให้สหรัฐฯปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เงินหยวนและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเป็นผลทั้งปฏิกิริยาของตลาดการเงินโลกและเป้าหมายทางนโยบายการเงิน ภาวะดังกล่าวจะทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของโลกไม่มีเสถียรภาพ กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของบางประเทศได้ เศรษฐกิจของหลายประเทศจะมีความเปราะบางและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในที่สุด เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยและปัญหาเศรษฐกิจอาจบานปลายเนื่องจากหลายประเทศไม่ได้มีพื้นที่นโยบายเพียงพอที่จะรับมือโดยเฉพาะประเทศที่มีฐานะทางการคลังอ่อนแอและมีหนี้สาธารณะในระดับสูง ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยต้องชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตส่วนเกิน ทบทวนการลงทุนและการใช้จ่ายเกินตัวของภาครัฐโดยเฉพาะการจัดซื้อที่ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน การลงทุนหรือผลิตเกินความต้องการภายในประเทศและอุปสงค์ของตลาดโลกจะสร้างปัญหาฟองสบู่ในอนาคตจากการลงทุน ต้องปรับการลงทุนหรือการผลิตอย่างเหมาะสมเพื่อปรับสมดุลให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน การขาดความสมดุลจะนำมาสู่ความยุ่งยากทางเศรษฐกิจและความซับซ้อนต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต การส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยบรรเทาผลกระทบของปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ระดับหนึ่ง การกระตุ้นการบริโภค การเพิ่มและการกระจายรายได้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในช่วงนี้ ดร. อนุสรณ์ เสนอให้ไทยมียุทธศาสตร์การค้าเพิ่มเติมที่จะสามารถรับมือความท้าทายสงครามการค้า และสงครามค่าเงินเริ่มต้นด้วย ยุทธศาสตร์การค้าที่ต้องผลิตสินค้าให้ตรงกับอุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมส่งออกใหม่ ยุทธศาสตร์การผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานและผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการทางออนไลน์ด้วย Platform ของตัวเอง และ การสร้าง Brand ในระดับประเทศที่ SME สามารถใช้ประโยชน์ได้ ยุทธศาสตร์การปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐให้เอื้อต่อการประกอบธุรกรรมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้ง ปรับจำนวนพิกัดอัตราภาษีศุลกากรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการค้า ดร. อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงทุนจากกลุ่มทุนจีนมายังอาเซียนและไทยเพื่อเลี่ยงผลกระทบสงครามการค้าจีนสหรัฐฯเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งกำเนิดสินค้าและกติกาด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เข้มงวดน้อยกว่าจำเป็นที่ประเทศผู้รับการลงทุนอย่างไทยต้องคัดเลือกโครงการด้วยความละเอียดรอบคอบและละเอียดอ่อนเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาการกีดกันทางการค้าต่อประเทศไทยในอนาคต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ