กรุงเทพฯ--13 ส.ค.--ธามดี พลัส
บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ประกาศงบไตรมาส 2/2562 รายได้รวม 3,342.61 ล้านบาท กำไรสุทธิ 166.29 ล้านบาท เพิ่ม 43.75% และ 250.82% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากราคายางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นและผลิตภัณฑ์ใหม่ RSS Mixtures Rubber สำหรับเป้าหมายครึ่งหลังปี 2562 รายได้จะเติบโตตามเป้าจากคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ล่วงหน้าล้น
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/62 ว่าบริษัทมีรายได้รวม 3,342.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,017.37 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,325.24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43.75% และมีกำไรสุทธิ 166.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.89 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 47.40 ล้านบาท หรือคิดเป็น 250.82 %
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 6,394.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,418.25 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,976.51 ล้านบาท หรือคิดเป็น60.81% และมีกำไรสุทธิ 267.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.56 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 166.67 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.33 %
โดยสาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2562 ที่เพิ่มขึ้นจากราคายางที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2562 โดยเป็นคำสั่งซื้อของลูกค้าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 และนำมาส่งมอบในช่วงไตรมาส 2/2562 นอกจากนี้บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตยางแผ่นผสมซึ่งเริ่มผลิตได้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 60,000 ตัน/ปีทำให้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 292,800 ตัน/ปี อีกทั้งปริมาณการขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตของลูกค้าจากประเทศจีน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งนี้แนวโน้มราคายางที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณการส่งยางออกที่ลดลง
นายชูวิทย์ กล่าวถึงผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2562 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ล่วงหน้าถึงไตรมาส 3/2562 และยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนแนวโน้มราคายางพาราครึ่งปีหลังอาจจะมีการปรับตัวลดลงแต่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 50 บาทต่อกิโลกรัม
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตยางแท่ง (STR20) บริษัทได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการผลิตได้ในปลายปี2562 ทำให้ปี 2563 กำลังผลิตยางพาราแปรรูป รวมทั้งโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 465,600 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 2.3 แสนตันต่อปี ซึ่งนอกจากจะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นจากขนาดธุรกิจที่เหมาะแก่การลงทุน หรือ Economy of Scale ก็จะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิของบริษัทด้วย
"ปี 2563 บริษัทจะเกิดคำว่า Economy of Scale ในโรงงานของเราจากการขยายกำลังการผลิต 100% แต่ไม่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการบริหารจัดการในโรงงาน ทำให้มั่นใจว่ากำไรในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้แน่นอน" นายชูวิทย์ กล่าว