กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2562อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัย ใน 13 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ชุมพร เชียงใหม่ กำแพงเพชร เลย พะเยา เชียงราย ตาก สุราษฎร์ธานี ระนอง น่าน และแม่ฮ่องสอน รวม 54 อำเภอ 163 ตำบล 674 หมู่บ้าน บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 3,113 หลัง ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้วทุกจังหวัด ทั้งนี้ ปภ. ได้ร่วมกับจังหวัด หน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 8 – 11 ส.ค. 62 ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ซึ่ง ปภ. ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมสรรพกำลัง วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยให้เผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที
นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2562 เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัย ใน 13 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ชุมพร เชียงใหม่ กำแพงเพชร เลย พะเยา เชียงราย ตาก สุราษฎร์ธานี ระนอง น่าน และแม่ฮ่องสอน รวม 54 อำเภอ 163 ตำบล 674 หมู่บ้านผู้เสียชีวิต 4 ราย (ตาก 2 ราย สุราษฎร์ธานี 1 ราย แม่ฮ่องสอน 1 ราย) บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 3,113 หลัง พื้นที่การเกษตร 698 ไร่ ถนน 15 สาย สะพาน 8 แห่ง ฝาย 2 แห่ง ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้วทุกจังหวัด ทั้งนี้ ปภ. ได้ร่วมกับจังหวัด หน่วยทหาร และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยจัดเจ้าหน้าที่สำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหาย เพื่อให้ช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 8 – 11 ส.ค. 62 ภาคตะวันออก และภาคใต้จะมีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ซึ่ง ปภ. ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมสรรพกำลัง วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยให้เผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยขอให้ติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น อย่างท้ายนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป