กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--ราช กรุ๊ป
- พร้อมขยายการลงทุนพลังงานทดแทนในออสเตรเลีย หลังปักธงในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียจากการร่วมทุนในโครงการพลังงานลมยานดินสำเร็จ
- ครึ่งปีแรก 2562 ลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ ในออสเตรเลีย 2 แห่งและประเทศไทย 1 แห่ง กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 1,776.74 เมกะวัตต์
- พร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการ PPP ในประเทศ และอาเซียน สร้างฐานธุรกิจระบบสาธารณูปโภคตามวิสัยทัศน์บริษัทฯ
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ปี 2562 ยังมีการขยายธุรกิจและผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้รับรู้กำไรสำหรับงวด เป็นจำนวน 3,693.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังเริ่มรับรู้รายได้ส่วนแบ่งกำไรของโครงการที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 2 โครงการ รวมกำลังผลิตตามการถือหุ้น 77.23 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนโครงการใหม่อีก 3 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 1,776.74 เมกะวัตต์ ด้วย
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสะท้อนถึงการเติบโตทางธุรกิจและความมั่นคงทางการเงินได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น 3 แห่ง กำลังผลิตติดตั้งตามการลงทุนรวม 1,776.74 เมกะวัตต์ ซึ่ง 2 โครงการเป็นโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ในออสเตรเลีย ได้แก่ โครงการคอลเลคเตอร์ และโครงการยานดิน ซึ่งความสำเร็จการร่วมทุนในโครงการยานดิน ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างฐานธุรกิจในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรัฐขนาดใหญ่ของออสเตรเลีย บริษัทฯ เชื่อมั่นในศักยภาพและมีความพร้อมที่จะลงทุนโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสจากแผนพัฒนาไฟฟ้าประเทศไทยฉบับปัจจุบัน และโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน (Public-Private Partnership: PPP) ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน รวมถึงการศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการพลังงานสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ด้วย
"กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้จะเน้นการร่วมทุนกับพันธมิตร ทั้งในรูปแบบการซื้อกิจการที่มีรายได้แล้ว โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อให้การบริหารเงินลงทุนและผลตอบแทนมีประสิทธิภาพสูงสุด ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ ได้ลงทุนโครงการพลังงานลม 2 แห่งในออสเตรเลีย คือ โครงการคอลเลกเตอร์ กำลังผลิต 226.8 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด และ โครงการยานดิน กำลังผลิตติดตั้ง 214.2 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าร่วมทุนถือหุ้น 70% และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมหินกอง กำลังผลิตติดตั้ง 1,400 เมกะวัตต์ ในประเทศไทย สำหรับธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลโครงการคมนาคมขนส่งระบบราง ถนน และโทรคมนาคม เพื่อเร่งสร้างฐานธุรกิจตามเป้าหมาย รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2564" นายกิจจา กล่าว
ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 2 แห่ง คือโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์ วิลล์ ในออสเตรเลีย (บริษัทฯ ถือหุ้น 100%) กำลังผลิต 42.5 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเมื่อเดือนมีนาคม และโครงการเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น (บริษัทฯถือหุ้น 35%) กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 34.73 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีกำลังผลิตที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการลงทุนรวม 6,937.58 เมกะวัตต์
สำหรับผลการดำเนินงานรอบครึ่งปีแรก 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 23,518.50 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจาก 2 ส่วนที่สำคัญ คือรายได้ค่าขายไฟจากโรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ และบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น รวมจำนวน 19,283.96 ล้านบาท คิดเป็น 82% ของรายได้รวม และรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนจำนวน 2,362.96 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด จำนวน 3,693.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.55 บาท
ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 มีสินทรัพย์รวม จำนวน 99,156.02 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 39,550.93 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 59,605.09 ล้านบาท