กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--ซีเคร็ท คอมมูนิเคชั่นส์
เพราะ "การกิน" ส่งผลถึงสุขภาพและการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า "You are What you eat" กินอะไรได้อย่างนั้น หากเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ร่างกายก็จะแข็งแรง เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิต แต่ในปัจจุบันพฤติกรรม "การกิน" ของคนไทยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกาย เฉลี่ยต่อรายสูงถึง 29 ช้อนชา ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องรูปร่างและสุขภาพ โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคนไทยป่วยเป็นโรคอ้วน และเป็นเบาหวานสูงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งหนึ่งในโรคแทรกซ้อนที่มักตามมาจากการเป็นเบาหวาน คือ โรคปลายประสาทอักเสบ
ล่าสุด เพจ "อย่าเฉยเมื่อเกิดอาการชา" ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ประชาชนในเรื่องของอาการชาโรคปลายประสาทอักเสบ ณ ห้องสมุด ชั้น 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยภายในงานได้มีการตรวจคัดกรองเบื้องต้นอาการชาโรคปลายประสาทอักเสบ ด้วยเครื่อง vibrometer นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในหัวข้อ "วิตามิน B ต้านชา สำหรับ Hero ที่คุณรัก" เพื่อแนะนำวิธีป้องกันและการดูแลตัวเองเมื่อมีอาการชาจากโรคปลายประสาทอักเสบ และปิดท้ายด้วยกิจกรรม Workshop "ลูกบีบช่วยอาการมือชา" โดยใช้อุปกรณ์ง่ายๆ อย่างถุงเท้า และถั่วเขียว ที่หาได้จากในบ้านมาทำเป็น "ลูกบีบช่วยอาการมือชา" อีกด้วย
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันพบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไป จะเห็นได้ชัดว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม โดยเฉพาะรสหวาน ซึ่งพบว่าคนไทยชอบดื่มน้ำหวาน อาทิ ชา กาแฟ ชานมไข่มุก ที่มีปริมาณน้ำตาลมากกว่าที่ร่างกายต้องการ และจากการสำรวจพบว่า คนไทยได้รับน้ำตาลสูงถึงวันละ 29 ช้อนชา จึงส่งผลให้เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานสูงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่ อาจพบโรคปลายประสาทอักเสบเป็นหนึ่งในโรคแทรกซ้อน โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการชาตามบริเวณปลายมือ ปลายเท้า ผู้สูงอายุก็เป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงเพราะผู้สูงอายุมักพบภาวะขาดวิตามิน B1 B6 B12 เนื่องจากทานอาหารได้น้อยกว่าคนปกติ รวมถึงร่างกายของผู้สูงอายุดูดซึมวิตามินได้ลดลง ผู้ที่ชอบกินอาหารประเภท ปลาร้า ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู และทานมังสวิรัติ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปลายประสาทอักเสบเช่นกัน เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะมีสารทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินจำเพราะสำหรับการดูแลระบบประสาท หากรับประทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ขาดวิตามินเหล่านี้ได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกราช ยังเผยว่า "โรคปลายประสาทอักเสบ" มีสาเหตุมาจาก
1.เส้นประสาทมีอาการบาดเจ็บ เช่น ถูกกดทับ หากนั่งเป็นเวลานาน 2.ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป 3.มีภาวะขาดวิตามิน B1, B6, B12 ผู้ที่เสี่ยงต่ออาการชาจากโรคปลายประสาทอักเสบ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่รับประทานอาหารเจหรือมังสวิรัติ และผู้ที่ชอบเล่นมือถือหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่วนอาการที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อเป็น "โรคชาปลายประสาทอักเสบ" เช่น 1. มีอาการชาปลายมือ 2.มีอาการชาปลายเท้า 3. ชาปวดเหมือนเข็มทิ่ม 4. ชาปวดแสบปวดร้อน
สำหรับการดูแลรักษา "โรคปลายประสาทอักเสบ" ควรหลีกเหลี่ยงการไขว้ขา และการนั่งในท่าที่อาจกดทับเส้นประสาท ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และรับประทานวิตามิน B1,B6,B12 อย่างเหมาะสม เพราะวิตามิน B มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง และช่วยซ่อมแซมปลอกหุ้มเซลล์ประสาท
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกราช กล่าวปิดท้ายว่า การกิน คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา เพราะอาหารและสิ่งต่างๆ ที่เรารับประทานย่อมมีผลต่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของร่างกาย ดังนั้นอยากฝากถึงคนไทยทุกคนว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะหันมาใส่ใจสุขภาพ ดูแลเรื่องอาหาร เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ถ้าเราต้องการมีสุขภาพที่ดีเราต้องปรับพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน หรือ โรคเบาหวาน เพราะนอกจากความเสี่ยงของโรคที่คุณเป็นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร พร้อมดูตารางกิจกรรมการตรวจคัดกรองอาการชา ได้ที่เฟสบุ๊คเพจ "อย่าเฉยเมื่อเกิดอาการชา" ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย...