กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประเด็นสำคัญ
ความขัดแย้งทางการเมืองในฮ่องกงทวีความรุนแรงขึ้นจนมาถึงขั้นปิดสนามบินฮ่องกงทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างฉับพลัน การขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าทางอากาศไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกทางอากาศของไทยไปยังฮ่องกงมีปริมาณไม่มากนัก จึงไม่กระทบต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การประท้วงที่ฮ่องกงมีผลต่อบรรยากาศธุรกิจและเศรษฐกิจของฮ่องกงให้ยิ่งอ่อนแรงลงอีกซ้ำเติมการชะลอตัวที่เป็นผลพวงมาจากสงครามการค้า อันจะส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออกของไทยไปฮ่องกงช่วงที่เหลือของปีเสียหายราว 500-900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้การส่งออกไปฮ่องกงทั้งปี 2562 หดตัวยิ่งขึ้นราวร้อยละ 9-12 ซึ่งสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยที่ส่งออกไปยังฮ่องกงเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดการส่งออก ขณะที่ผลต่อการส่งออกสินค้าขั้นกลางที่ไทยใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านไปจีนมีค่อนข้างจำกัดหากเหตุประท้วงไม่ขยายวงกว้างไปกว่านี้
การชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกงเริ่มลุกลามจนกระทั่งทางการสั่งปิดสนามบินนานาชาติ แม้กระทบต่อการขนส่งสินค้าทางอากาศของฮ่องกงแต่ก็ไม่มีนัยสำคัญเพราะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.0 ของปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมดของฮ่องกง ซึ่งผลกระทบทางตรงจากการปิดสนามบินฮ่องกงแทบจะไม่มีผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของไทยในภาพรวมเมื่อเทียบกับการขนส่งสินค้าทางเรือที่มีความสำคัญมากกว่า โดยในภาพรวมแล้วไทยใช้ช่องทางการขนส่งสินค้าทางอากาศค่อนข้างน้อยร้อยละ 0.3 ของปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย และการส่งสินค้าทางอากาศไปฮ่องกงก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ที่ขนส่งทางอากาศก็อยู่ในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับที่สามารถเลื่อนระยะเวลาการขนส่งออกไปได้
อย่างไรก็ดี ผลพวงจากสถานการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งสร้างความอ่อนไหวให้แก่เศรษฐกิจฮ่องกงในช่วงครึ่งปีหลังและฉุดให้ตลอดทั้งปี 2562 เติบโตค่อนข้างต่ำ จากที่เคยขยายตัวร้อยละ 3 ในปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันเศรษฐกิจของฮ่องกงเติบโตเชื่องช้าอันเป็นผลสืบเนื่องจากสงครามการค้ายืดเยื้อทำให้รายได้จากการขนส่งและการทำธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับจีนอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญจนเศรษฐกิจฮ่องกงไตรมาส 2/2562 เติบโตเพียงร้อยละ 0.6 (YoY) และเมื่อประกอบภาพกับความไม่สงบในประเทศที่ยกระดับความรุนแรงมากขึ้นยิ่งบั่นทอนรายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้หลักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศกว่า 65 ล้านคนในแต่ละปี ส่งผลต่อบรรยากาศธุรกิจในประเทศประสบภาวะชะงักงันคงยากที่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะกระเตื้องขึ้น และคงฉุดการส่งออกของไทยในภาพรวม โดยไทยมีฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกสำคัญลำดับที่ 5 มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 4.7 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เหตุการณ์ประทวงดังกล่าวยังไม่แน่นอนว่าจะจบลงเมื่อใดและมีความเสี่ยงที่จะยกระดับความรุนแรงขึ้นอีก ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยไปฮ่องกงในช่วงที่เหลือของปีอย่างแน่นอน โดยคาดว่าอาจฉุดให้การส่งออกไปฮ่องกงสูญเสีย 500-900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ทั้งปี 2562 การส่งออกของไทยไปฮ่องกงมีความเสี่ยงหดตัวสูงขึ้นมาที่ราวร้อยละ 9-12 จากที่ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 หดตัวอยู่แล้วที่ร้อยละ 9.4 (YoY) โดยตลาดฮ่องกงมีความพิเศษสำหรับไทยตรงที่สินค้าที่ส่งออกจากไทยไปยังฮ่องกงราวร้อยละ 60 นั้นใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านไปยังตลาดจีนซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีทิศทางอ่อนไหว และสินค้าที่เหลือเป็นการใช้บริโภคภายในเกาะฮ่องกงซึ่งผลจากความอ่อนไหวของเศรษฐกิจฮ่องกงนั้นกระทบกับสินค้ากลุ่มหลังมากกว่า ดังนี้
กรณีที่เหตุการณ์ไม่ขยายวงกว้างไปกว่านี้และยุติลงได้โดยเร็ว ผลกระทบต่อการส่งออกไทยไปฮ่องกงจะจำกัดที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสืบเนื่องมาจากสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยไปฮ่องกงอาจอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปีตามความหวั่นไหวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงเป็นหลัก กลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงคำสั่งซื้ออ่อนแรงลงจากปัจจุบันอีกราวร้อยละ 20-30 ในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ ผักและผลไม้ ข้าว ไก่แปรรูป ไข่ไก่สด และอาหารทะเลกระป๋องและผลไม้กระป๋อง เป็นต้น
กรณีที่เหตุการณ์ยกระดับความรุนแรงมีผลทำให้ภาคธุรกิจในประเทศหยุดชะงักรวมทั้งส่งผลให้การขนส่งทางน้ำติดขัด ผลกระทบต่อการส่งออกไทยไปฮ่องกงจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นทั้งผลจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทรุดตัวยิ่งกว่าเดิม บวกกับผลที่มาจากการส่งออกในกลุ่มสินค้าขั้นกลางของไทยที่ส่วนใหญ่ใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านไปยังจีน โดยผลกระทบที่มีต่อสินค้าส่วนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวตามความไม่แน่นอนของคำสั่งซื้อที่มาจากจีนที่อยู่ท่ามกลางสงครามการค้าเป็นหลัก บวกกับการติดขัดในการขนส่งที่จะเกิดเพียงในระยะสั้นเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ประกอบการสามารถใช้เส้นทางการเดินเรือทางอื่นขนส่งไปยังจีนได้โดยตรงทดแทนการส่งสินค้าผ่านฮ่องกง อาทิ ผ่านทางท่าเรือเซินเจิ้นและท่าเรือกวางโจวในมณฑลกวางตุ้งของจีน ซึ่งสินค้าไทยที่ผ่านช่องทางนี้ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์โทรศัพท์ ทรานซิสเตอร์และไดโอท และวงจรพิมพ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ในด้านการนำเข้าของไทยที่สินค้าจีนก็ใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านมาไทยก็ไม่กระทบมากนัก เพราะส่วนใหญ่ไทยนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับ แต่ผลกระทบกลับตกอยู่ประเทศที่มีห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงกับจีนและใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านมากกว่าโดยสินค้าที่มีความเสี่ยงอยู่ในกลุ่มที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วน ICs ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล HDDs ทรานซิสเตอร์/ไดโอท ชิ้นส่วนโทรทัศน์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในฐานะที่ฮ่องกงเป็นประตูการค้าของจีน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การประท้วงปิดสนามบินในฮ่องกงส่งผลกระทบต่อการค้าของจีนไม่มาก เนื่องจากการส่งออกของฮ่องกงผ่านทางอากาศมีปริมาณค่อนข้างน้อย และถ้าหากเหตุการณ์ขยายวงรุนแรงจนมีผลต่อระบบการขนส่งทางน้ำก็อาจกระทบเฉพาะในระยะสั้นแต่ไม่กระทบต่อภาคการค้าโดยรวมของจีนเพราะผู้ส่งออกและนำเข้าของจีนสามารถปรับตัวเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นได้ แต่สิ่งที่เป็นผลพวงมากับการประท้วงครั้งนี้คงส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของฮ่องกงซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจจีน อันจะยิ่งกดดันให้นักลงทุนพิจารณากระจายความเสี่ยงโดยการย้ายบริษัทสำนักงานใหญ่จากฮ่องกงไปยังประเทศอื่นๆ แทน เช่น สิงคโปร์ ไต้หวันหรือญี่ปุ่น รวมถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ แทน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีนในระยะยาวได้ ยิ่งสั่นคลอนเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อจีน กดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปกว่าเดิมสวนทางกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาคที่ไปในทิศทางแข็งค่าโดยเฉพาะค่าเงินบาทของไทย ทำให้ในท้ายที่สุดอาจซ้ำเติมการส่งออกของไทยทั้งที่ไปจีนและไปฮ่องกงอ่อนไหวอีกระลอกหนึ่ง
Disclaimer
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น