กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--เค พลัส พีอาร์
CHOW มั่นใจปี 63 กลับมาโชว์ฟอร์มสวยอีกครั้ง หลังโรงงานผลิตเหล็กปรับโฉมแล้วเสร็จ พร้อมกลับมารับจ้างผลิตเต็มรูปแบบในไตรมาสที่ 4/2562 ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ในขณะที่ธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นยังเดินหน้าทำกำไรต่อเนื่อง พร้อมมองหาโอกาสใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องในอนาคต
นายศุภชัย ยิ้มสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และธุรกิจพลังงาน ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2563 ว่า มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปี 2562 ได้อย่างชัดเจน หลังจากกระบวนการปรับปรุงโรงงานผลิตเหล็กเฟสที่สองที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อรองรับการรับจ้างผลิตเหล็กแท่งยาวจากผู้ประกอบการรายใหญ่จะแล้วเสร็จลงในไตรมาสที่ 3/2562 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถผลิตได้เต็มประสิทธิภาพด้วยต้นทุนที่ลดลงทันทีในไตรมาสที่ 4/2562 ซึ่งจะสะท้อนให้ธุรกิจเหล็กพลิกกลับมามีกำไร จากการรับจ้างผลิตที่ช่วยลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ทั้งราคาเหล็กและการแข่งขันในตลาด
"ปัจจุบันCHOW อยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงานการผลิตเฟสสองเพื่อรองรับการรับจ้างผลิตเหล็กแท่งยาวให้กับลูกค้ารายใหญ่ที่มีคำสั่งซื้อมากกว่าปีละ 400,000 ตัน ซึ่งยอมรับว่าช่วงการปรับปรุงโรงงานจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นฉุดให้ผลประกอบการต่ำลงอย่างชัดเจน แต่สถานการณ์ดังกล่าวกำลังจะผ่านพ้นไป โดยปัจจุบันการปรับปรุงโรงงานการผลิตได้คืบหน้าไปแล้วกว่า 70% โดยมีกำหนดจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 นี้ ซึ่งจะทำให้โรงงานการผลิตหลังปรับปรุงใหม่จะสามารถผลิตเหล็กแท่งยาวได้ในต้นทุนที่ลดลง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสทัยขึ้นและสามารถผลิตเหล็กในเกรดที่มีคุณภาพสูงขึ้น สะท้อนให้ตัวเลขกำไรในธุรกิจเหล็กปรับตัวดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเหล็กต้นน้ำเต็มกำลังตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2552 เป็นต้นไป" นายศุภชัยกล่าว
ส่วนธุรกิจพลังงาน ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยผลประกอบการของธุรกิจพลังงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 ธุรกิจพลังงานมีกำไรสุทธิ 119.1 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศจากช่วงฤดูหนาวในช่วงไตรมาสที่ 1 และเป็นฤดูร้อนในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็น 4 โครงการในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 และ อีก 1 โครงการในไตรมาสที่ 2 ให้แก่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผลให้มีกำไรจากการขายโครงการ 90.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์การขายโครงการเพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทมีกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์รวม 59.92 เมกะวัตต์ดีซีประกอบด้วย 6.63 เมกะวัตต์ดีซีในประเทศไทย และ 53.29 เมกะวัตต์ดีซีในญี่ปุ่น และในสิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2562 บริษัทฯ มีโครงการไฟฟ้าซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างในประเทศญี่ปุ่นกำลังการผลิตรวม 22.3 เมกะวัตต์ดีซี ซึ่งคาดว่าโครงการที่มีกำลังการผลิต 7.2 เมกะวัตต์ดีซี จะสร้างแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 นี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนยังมีอีกมาก โดยเฉพาะจากพลังงานสะอาดที่ไม่สร้างมลพิษอย่างไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งจะสะท้อนรายได้จากธุรกิจพลังงานเติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ