กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.โอสถสภา โชว์กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,599 ล้านบาท เติบโต 11% ผลจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศ และการขยายตัวของผลิตภัณฑ์เบบี้ มายด์และทเวลฟ์ พลัส
พร้อมรุกตลาดเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่องผ่านธุรกิจเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น
'บมจ. โอสถสภา (OSP)' โชว์ผลการดำเนินงานครึ่งปี 2562 เติบโตแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 1,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากการเติบโตของยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศ รวมถึงจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านการลงทุนในธุรกิจเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ ทั้งนี้ ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า การเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคล ควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หากไม่นับรวมการหักการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ จะมีกำไรสุทธิ 1,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
"การเปิดศูนย์นวัตกรรมโอสถสภา ซึ่งมีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่ม ด้วยเงินลงทุน 46 ล้านบาทเมื่อเร็วๆ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบที่ปลอดภัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค ช่วยให้สามารถพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดี สร้างการเติบโตต่อธุรกิจทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลของโอสถสภาอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสที่ผ่านมา" นายเพชร กล่าว
ทั้งนี้ จากการรุกทำตลาดและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังกลับมาเติบโตอีกครั้ง ในส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศสามารถเติบโตตามอัตราการขยายตัวของตลาด โดยมีเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่มีส่วนผสมสมุนไพร ได้แก่ โสมอิน-ซัมและฉลามกระชายดำ และผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ ชาร์ค ซึ่งเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังแบบกระป๋องที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น เช่นเดียวกับกลุ่ม Functional Drinks ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นผู้นำและสร้างการเติบโตของตลาดนั้น ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแบรนด์ ซี-วิต (C-Vitt) เป็นผู้นำของตลาดมีส่วนแบ่งตลาดที่ 25% เพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งตลาด 17% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ เปปทีน พลัส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยเพิ่มยอดขายและนำแบรนด์ เปปทีน ให้กลับขึ้นมาสู่อันดับหนึ่งของกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงสมองอีกครั้ง
นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม บริษัท โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ. โอสถสภา ได้ลงนามเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอเชีย เวนดิ้ง แมชชีน โอเปอร์เรชั่น จำกัด (AOC) ซึ่งประกอบกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม อาหาร และสินค้าอื่น ๆ ผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ คิดเป็นร้อยละ 51 ของหุ้นสามัญที่จดทะเบียนชำระแล้วทั้งหมดของ AOC เพื่อเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ผ่านช่องทางเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และบริษัทฯ ยังมีแผนการออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่อีก 2-3 ตัว
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น มีอัตราเติบโตในไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 21% และได้ตอกย้ำความเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับเด็ก และการเป็นผู้นำในตลาดมาอย่างยาวนาน ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เบบี้ มายด์ อัลตร้ามายด์ สวีต อัลมอนด์ มีวิตามินอีสูง กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวลูกน้อยเนียนนุ่มเด้งสุขภาพดี และพัฒนาสินค้าออร์แกนิคแท้ระดับพรีเมี่ยมที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานออร์แกนิคระดับโลก ภายใต้แบรนด์ ออร์แกนิค บาย เบบี้ มายด์ (Organik by Babi Mild) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายสู่ตลาดเครื่องสำอางค์คุณภาพพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ แพลนท์สตอรี (Plant Story) ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะโดยใช้วิธีจำหน่ายทางช่องทาง e-commerce และร้านค้าที่มีภาพลักษณ์เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ
สำหรับความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ขณะนี้โรงงานหลอมแก้วแห่งใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงระดับโลกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมเปิดดำเนินการผลิตในเดือนสิงหาคมตามแผน เช่นเดียวกับโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมติละวา กรุงย่างกุ้ง เมียนมาร์ มีความคืบหน้าในการก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปลายปีนี้
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากงวดผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม-มิถุนายน 2562) ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 66 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมสำหรับครึ่งปีแรกของบริษัท หลังหักทุนสำรองตามกฎหมาย โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2562 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 13 กันยายน 2562