กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--IR PLUS
ชโย กรุ๊ป หรือ CHAYO อวดผลงานไตรมาส 2 ปี 2562 มีกำไร 33.28 ล้านบาทเติบโต 38.39% ในขณะที่ครึ่งปีแรกมีกำไร 60.68 ล้านบาท เติบโต 57.55% มีรายได้รวมครึ่งปีอยู่ที่ 161.48 ล้านบาท ด้านพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพ ณ 30 มิ.ย. 62 อยู่ที่ 570.42 ล้านบาท (ไม่รวมสินทรัพย์รอการขายอีกจำนวน 53.84 ล้านบาท) เผยลุยปล่อยสินเชื่อ Nano และ Personal loan เสริมรายได้แกร่ง "สุขสันต์ ยศะสินธุ์" ซีอีโอ มั่นใจแนวโน้มปี 2562 รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% อย่างแน่นอน พร้อมประกาศกลยุทธ์เชิงรุกในทุกธุรกิจ ครึ่งปีหลังเตรียมเงินลุยซื้อหนี้เข้าพอร์ตมาบริหารเพิ่ม พร้อมเดินหน้าธุรกิจปล่อยสินเชื่อเต็มสูบและขยายงานให้บริการเจรจา ติดตามและทวงถามหนี้อย่างต่อเนื่อง
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 2/2562 มีรายได้รวมอยู่ที่ 86.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.18 ล้านบาท หรือ 21.41% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.28ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.39% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 67.45% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 42.35% ในขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปี 2562 อยู่ที่ 60.68 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับครึ่งปีแรกอยู่ที่ 65.95% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 39.49%
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธุรกิจหลักซึ่งได้แก่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์หรือซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารและธุรกิจให้บริการเจรจา ติดตาม ทวงถามหนี้ มีการเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในครึ่งปีแรกธุรกิจบริหารสินทรัพย์หรือซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารมีการเติบโต 20.66% และธุรกิจเจรจา ติดตาม ทวงถามหนี้มีรายได้เติบโตถึง 73.54% ซึ่งเป็นผลมาจากบริหารการจัดเก็บหนี้ที่ไม่มีหลักประกันที่มีอยู่และการทยอยขายหลักประกันของหนี้ที่ได้ซื้อในปี 2560 และ 2561 เพื่อเสริมสร้างรายได้ ส่วนธุรกิจเจรจา ติดตามและทวงถามหนี้มีการเจริญเติบโตอย่างโดดเด่นเนื่องจากบริษัทสามารถจัดเก็บหนี้ให้ลูกค้าได้มากขึ้นประกอบกับบริษัทมีผู้ว่าจ้างมากขึ้น
นายสุขสันต์ กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2562 เชื่อว่าจะมีการเติบโตโดดเด่นตามเป้าหมาย เนื่องจากคาดว่าทางสถาบันการเงินจะทยอยปล่อยหนี้ด้อยคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงปลายปี บริษัทฯ น่าจะมีโอกาสได้เข้าร่วมประมูลซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มมากขึ้น สนับสนุนแผนงานในปี 2562 ของ CHAYO ที่คาดว่าจะมีพอร์ตบริหารหนี้ทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหารได้ตามเป้าหมาย
"ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่ายังคงเป็นไปในทิศทางที่บริษัทฯ ประเมินไว้ สถาบันการเงินจะทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้ ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อน โดยมูลหนี้คงค้าง ณ สิ้นเดือนมิ.ย.ปี 2562 อยู่ที่ 38,287 ล้านบาท โดยหนี้ที่จะซื้อเข้ามาบริหารในปีนี้ คาดว่าจะเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน 70-80% ไม่มีหลักประกัน 20-30% โดยในช่วงไตรมาส 3 - 4 คาดว่าจะมีหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้จากสถาบันการเงินจำนวนหลายแห่ง รวมมูลค่าหนี้ประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปก่อนสิ้นปีนี้" นายสุขสันต์ กล่าว
โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือหนี้เสียที่บริหารอยู่ในมือจำนวน 38,287 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนี้เสียที่มีหลักประกันจำนวน 3,230 ล้านบาท และหนี้ไม่มีหลักประกันจำนวน 35,057 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจปล่อยสินเชื่อ บริษัทฯ ได้เริ่มปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าไปแล้วประมาณ 200 ราย และจะปล่อยเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 200-250 ล้านบาท ตอกย้ำการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอนาคต และเชื่อว่าผลงานปีนี้จะสามารถทำนิวไฮตามเป้าหมายรายได้รวมที่วางไว้ ไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนอย่างแน่นอน
ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ยังอยู่ระหว่างรอผลการอนุมัติจาก สศค. ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจด้านการปล่อยสินเชื่อ บริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย "ชโย แคปปิคอล" ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย "ชโย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส"
"กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจปล่อยสินเชื่อคือพนักงานประจำ ทั้งบริษัทเอกชนและรัฐบาล ลูกจ้างประจำ หรือลูกค้าเดิมที่มีธุรกรรมกับบริษัทฯ เนื่องจากมองเห็นความต้องการและศักยภาพของลูกค้า ขณะที่จุดแข็งของบริษัทฯ คือความชำนาญในการเจรจา ติดตาม ทวงถามหนี้ และปล่อยสินเชื่อ จึงมั่นใจว่าธุรกิจปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท จะผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและมั่นคง" นายสุขสันต์ กล่าว