กรุงเทพฯ--30 ส.ค.--ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น
"SUPER" เดินหน้ารับรู้รายได้โรงไฟฟ้าใหม่ พร้อมมองหาโอกาสเข้าลงทุนต่อเนื่อง "จอมทรัพย์ โลจายะ" บิ๊กบอส แย้มธุรกิจครึ่งปีหลังแนวโน้มดี เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฯเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดพิจิตร ขนาด 9 เมกะวัตต์ วางเป้ากำลังการผลิตทะลุ 1,000 เมกะวัตต์สิ้นปีนี้อย่างแน่นอน
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง คาดว่า ผลประกอบการจะเติบโตดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยในงวดไตรมาส2/62 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 1,580.66 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 352.53 ล้านบาท โดยมาจากโครงการที่ทยอยรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ COD ในโครงการต่างๆที่มีการลงทุนทั้งในประเทศและโครงการต่างประเทศที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รายได้ที่จะเข้ามาสนับสนุนในครึ่งปีหลังนั้น จะมาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเวียดนาม ซึ่งได้ทำการCODไปแล้ว เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2562 โดยการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) จำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 186.72 ส่วนอีก 1โครงการ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 350 เมกะวัตต์ จะทยอยลงนามกับผู้รับเหมา คาดจะเริ่มเห็นความชัดเจน ตั้งแต่ไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป
นอกจากนี้โรงไฟฟ้าในประเทศ ที่จะ COD ในช่วงปลายปีนี้จะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน ที่จังหวัดพิจิตร มีขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มขึ้น จากเดิมมีโครงการอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว และได้ทยอยเข้ามาต่อเนื่อง รวมทั้งยัง มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชนอีก 3 โครงการที่จะทยอยดำเนินการ คือโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชนที่ จังหวัด หนองคาย มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมอยู่ที่ 8 เมกะวัตต์ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาส 4 เช่นกัน
" เรายังคงมองหาโอกาสในการลงทุน ด้านพลังงานทดแทนต่อเนื่องในทุกประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย และในปีนี้จะเห็นการเพิ่มรายได้ที่มาจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการผลิต และสร้างรายได้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะช่วยสนับสนุนการเพิ่มรายได้มากขึ้น รวมถึงเป็นการกระจายสัดส่วนรายได้หลัก เพราะจากเดิมมีแต่รายได้ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สัดส่วน 80 – 90 % "
นายจอมทรัพย์ กล่าวต่อว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และสถาบันการเงินพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เติบโตมากขึ้น จึงทำให้มั่นใจว่า ความสามารถในการสร้างรายได้ในปีนี้จะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรวม COD สิ้นปีนี้จะทะลุ 1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 955.32 เมกะวัตต์