กรุงเทพฯ--26 ก.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศลดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของหุ้นกู้ค้ำประกันของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 3 พันล้านบาทครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2549 และ หุ้นกู้ค้ำประกันมูลค่า 2 พันล้านบาทครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2550 เป็น ‘AA(tha)’ จากเดิม ‘AA+(tha)’ การปรับลดอันดับเครดิตของหุ้นกู้ค้ำประกันของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย) สืบเนื่องมาจากการที่ฟิทช์เปลี่ยนแนวโน้มเครดิตของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ เอจี จากเดิมแนวโน้มเครดิตเป็นบวก เป็นแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ค้ำประกันของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย) สะท้อนถึงการค้ำประกันในลักษณะเต็มจำนวน ไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จากบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ เอจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดยฟิทช์ให้มีอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ระดับ ‘BBB+’ เนื่องจากอันดับเครดิตสากลระยะยาวของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ เอจี มีอันดับต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินในประเทศระยะยาวของประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ ‘A’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพซึ่งฟิทช์ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของประเทศในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อยู่สองอันดับ การเปลี่ยนแนวโน้มเครดิตของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ เอจี เป็นแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จึงส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย) ลงเพื่อให้มีอันดับต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศของประเทศไทยที่ระดับ ‘AAA(tha)’ สองอันดับเช่นกัน
ฟิทช์กล่าวว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่างอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกันและของประเทศไทยอาจจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ที่ค้ำประกันโดยผู้ค้ำประกันนั้น เนื่องจากอันดับเครดิตภายในประเทศเป็นการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเปรียบเทียบภายในประเทศเดียวกัน และในกรณีของประเทศไทยอันดับเครดิตภายใน ประเทศของประเทศอยู่ที่ ‘AAA(tha)’ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตสากลของประเทศและของผู้ค้ำประกันจึงส่งผลให้มีการทบทวนการจัดอันดับเครดิตเปรียบเทียบภายในประเทศ นอกจากนี้นักลงทุนควรทราบว่าการปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตสากลหนึ่งอันดับอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตภายในประเทศมากกว่าหนึ่งอันดับได้
การเปลี่ยนแนวโน้มเครดิตของบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ เอจี สะท้อนถึงโอกาสในการที่ฟิทช์จะปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในระยะสั้นมีน้อยมาก เนื่องจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงที่ผ่านมาและการแข่งขันที่รุนแรงที่กลุ่มบริษัท ไครสเลอร์ จะต้องเผชิญ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจเมอร์เซเดส-เบนซ์มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้อันดับเครดิตของบริษัทมีความแข็งแกร่งนับตั้งแต่มีการควบรวมกิจการในปี 2541 ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจเมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ อาทิ คุณภาพสินค้า การปรับโครงสร้างธุรกิจ การขาดทุนที่เพิ่มขึ้นของสายงานรถยนต์สมาร์ท และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเนื่องจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ นอกจากนี้แม้ว่าผลกำไรของกลุ่มบริษัท ไครสเลอร์ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งมีผลมาจากการออกรถยนต์รุ่นใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีและส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันในด้านการออกรถยนต์รุ่นใหม่และในด้านราคา น่าจะส่งผลต่อผลกำไรของกลุ่มบริษัทในระยะปานกลาง ดังนั้นการแข่งขันในด้านราคาและการขยายกำลังการผลิตน่าจะยังคงเป็นปัจจัยที่จำกัดความสามารถในการเพิ่มส่วนต่างกำไรของบริษัทและจะลดทอนปัจจัยบวกจากการที่กลุ่มบริษัท ไครสเลอร์ สามารถปรับเพิ่มผลการดำเนินงานให้ดีขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นมีผลกระทบต่อแนวโน้มเครดิตเป็นบวกที่ฟิทช์ได้เคยประเมินไว้ในปี 2547 ดังนั้นแนวโน้มที่ฟิทช์จะปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในช่วงเวลาที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ไว้จึงมีน้อยมาก ปัจจัยที่ฟิทช์จะจับตามองในอนาคตอันใกล้ได้แก่การดำเนินการของบริษัทในการจัดการเรื่องคุณภาพสินค้า และผลตอบรับในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ติดต่อ
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล +662 655 4760,
ธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ +662 655 4763,
Vincent Milton +662 655 4759--จบ--